Actions

Work Header

【LoTM】Rising Sun

Summary:

นี่เป็นภาคต่อของ 【LoTM】Fooling Time

Notes:

ผมเริ่มเขียนมันแล้ว!

Chapter 1: อารัมภบท

Chapter Text

แสงสว่างมาเยือนความวุ่นวายและโกลาหล โลกที่แสนมืดมนและชั่วร้ายแห่งนี้จะถูกขับไล่และปัดเป่าด้วยแสงสุริยันโชติช่วง

 

พระเจ้าจะเสด็จมา

 

พระผู้สร้างสรรพสิ่ง

พระผู้ทรงรอบรู้และสัพพัญญู

จ้าวแห่งโลกดารา

ผู้ปกครองสรวงสวรรค์ เทพเหนือเทพ!

 

เคียงข้างบัลลังก์ของพระองค์คือเทพแห่งความเร้นลับ

 

รอยประทับแห่งกาลเวลา

ดวงประทีปแห่งชะตากรรม

จ้าวแห่งโลกวิญญาณ

พระผู้ทรงเมตตาและกรุณา ราชินีแห่งสรวงสวรรค์!

 

สุริยันจะเผยโฉมให้ทั้งโลกเห็นและความชั่วร้ายจะร่วงหล่นลง

 

ทรราช ผู้มีวิสัยทัศน์ มรณะ สนธยา จะสาบสูญไป

 

พระเจ้าจะทวงคืนและเรียกอำนาจของพระองค์กลับคืนมา เหลือเพียงสุริยันเจิดจรัสเท่านั้น!

 

และในความลับ

 

ความมืด และความเขลา ก็จะประสบความสำเร็จ!

 

Chapter 2: คำร้องขอสุดท้าย

Summary:

ความเป็นไปได้และแผนการของฟาบูติ

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

"...บทสนทนา..." บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในภาษาอังกฤษ

 

 


 

 

 

เอ่อ... สวัสดี?”ชายหนุ่มหน้าตาดีที่พึ่งปรากฏรูปลักษณ์ออกมาจากเงามืดบนบัลลังก์เงากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าพิลึกขณะที่เขามองไปยังร่างสองร่างตรงหน้า

 

“คุณ!”ดวงตาของไคลน์เบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสำเนียงและภาษาที่คุ้นเคยจากอดีตที่แสนห่างไกลจากบุคคลตรงหน้า

 

ฟังไม่ผิดหรอก ฟาบูติผู้ที่ได้รับสติคืนมาแล้วนั้นกำลังพูดทักทายในภาษาอังกฤษอยู่!

 

นัยน์ตาสีดำสนิทของฟาบูติสั่นไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าที่สูงส่งและแข็งแกร่งจากบุคคลทั้งสองตรงหน้า ใบหน้านุ่มนวลของชายผู้มีออร่าหมอกสีเทาและใบหน้าที่แสนคุ้นเคยของชายผู้มีออร่าสีทองและแสงสว่าง

 

จากปฏิกิริยาของทั้งสองคนเมื่อได้ยินตัวเองพูดในภาษาอังกฤษออกไปอย่างลองเชิงนั้นทำให้ฟาบูติมั่นใจได้เลยว่าสองคนตรงหน้าของเขานี้เป็นคนจากยุคเดียวกันกับตัวเองอย่างแน่นอน!

 

อา.. ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณต้องมาเห็นฉันในสภาพที่ไม่ค่อยดีนี้น่ะ แต่ฉันทำอะไรกับมันไม่ได้จริง ๆ”ฟาบูติกล่าวขึ้นทำลายความเงียบและความตกตะลึงของอีกสองคน

 

ฉันแน่ใจว่าตัวเองที่ตื่นขึ้นมาในทวีปที่มีแต่ความวุ่นวายและบ้าคลั่งก็คงจะไม่รอดพ้นจากชะตากรรมชีวิตเดียวกันแน่ ๆ แต่กว่าจะได้ทำอะไรมันก็สายเกินไปแล้ว... ความมืดและความชั่วร้ายมันครอบงำฉันโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว”สายตาที่ขุ่นมัวของเขาจ้องไปที่ไคลน์และกรีชาอย่างมั่นคง

 

ฉันไม่มีเวลาเหลืออีกนานนัก... จากที่สหายหนุ่มชาวยุโรปคนนั้นที่กำลังสร้างรอยกั้นระหว่างฉันกับสิ่งชั่วร้ายที่พยายามจะครอบงำฉันอยู่”แน่นอนฟาบูติรับรู้ได้ว่าที่ตนเองมีสติขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เพราะตัวของเขาเองที่สามารถต่อต้านการปนเปื้อนและธรรมชาติแห่งความเสื่อมทรามได้ แต่เป็นเพราะมีใครบางคนแทรกแทรงการเชื่อมต่อของเขากับต้นกำเนิดของสิ่งที่คอยควบคุมเขาอยู่ต่างหาก

 

หลังจากที่เห็นร่างของสหายชาวยุโรปผู้ที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกันกำลังถือแผ่นศิลาอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยออร่าของความแข็งแกร่งและทรงอำนาจอยู่พร้อมทั้งร่างของอีกฝ่ายที่แผดแสงสว่างราวกับดวงอาทิตย์ ฟาบูติก็มั่นใจได้ว่าพวกของไคลน์กำลังช่วยตัวเขาอยู่

 

ฟาบูติปรับสีหน้าหดหู่เล็กน้อยของตัวเองขณะที่เบนสายตาออกมาจากร่างของกรีชาและมองไปยังไคลน์

 

ดังนั้นแล้ว... ถ้าเป็นไปได้ฉันก็มีบางสิ่งที่อยากจะขอร้องพวกคุณ”ในฐานะบุคคลที่ตื่นขึ้นในหุบเหวที่แสนวุ่นวายและชั่วร้าย ฟาบูติก็ได้สืบทอดความรู้บางอย่างจากปีศาจต่าง ๆ ในหุบเหวเช่นเดียวกันกับองค์ความรู้ที่ได้รับมาจากการถูกครอบงำโดยต้นกำเนิดแห่งปิศาจทั้งมวล

 

เขาพอจะสรุปและอนุมานได้คร่าว ๆ ว่าโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตกาลที่แสนยาวนานอย่างไร และวิธีการใดบ้างที่ตัวเขาเองจะรอดพ้นจากโชคชะตาอันเลวร้ายแสนสาหัสนี้

 

ไคลน์ที่เห็นท่าทางจริงจังของฟาบูติก็ปรับสีหน้าของตัวเอง

 

ฉันไม่คิดเลยว่าเทพมารอย่างฟาบูติก็เป็นเศษเสี้ยวจากอดีตกาลเช่นเดียวกัน... แต่เขาโชคร้ายกว่าเศษซากอดีตกาลทุกคนมาก ไคลน์เห็นได้ถึงความสัมพันธุ์ที่แน่นแฟ้นของฟาบูติกับเทพภายนอกอย่างพฤกษามาตาแห่งแรงปรารถนาได้อย่างชัดเจน

 

อีกทั้งเส้นทางหุบเหวและผู้ถูกล่ามโซ่ก็เป็นสองเส้นทางที่เกิดการปนเปื้อนและเสื่อมทรามได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะเส้นทางหุบเหวที่ธรรมชาติของเส้นทางนั้นคือความชั่วร้ายและบิดเบี้ยวโดยสิ้นเชิง

 

จากสถานการณ์ในตอนนี้ที่ค่อนข้างคับขันและกะทันหันเป็นอย่างมาก กรีชาก็คงไม่สามารถขวางกั้นการเชื่อมต่อของเทพภายนอกกับสถานที่แห่งนี้ไว้ได้นานโดยปราศจากอำนาจแห่งความลับของอามานิสมันก็ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก

 

พวกเขาต้องรีบจบการสนทนานี้โดยเร็วและหากมีสิ่งใดที่สามารถจะทำเพื่อช่วยได้ ไคลน์ก็จะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดรอดไปแน่นอน

 

ไคลน์พยักหน้าให้กับคำพูดของฟาบูติและเริ่มรับฟัง

 

เมื่อเห็นดังนั้นฟาบูติก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเริ่มกล่าวขึ้น

 

ฉันมีความทรงจำและองค์ความรู้หลายอย่างที่จำเป็นและมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกรวมทั้งตัวของฉันเองด้วยแล้ว”คำพูดของฟาบูติเต็มไปด้วยความหนักหน่วงของอารมณ์ขณะที่แฝงไปด้วยความคิดถึงเมื่อพูดถึงความเป็นไปและสถานการณ์ของโลกใบนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลและไม่อาจหวนกลับคืนให้เป็นเหมือนในอดีตกาลได้

 

พวกคุณคงจะรู้กันแล้วว่าตอนนี้ใครเป็นคนที่คอยครอบงำฉันอยู่และเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้”ฟาบูติกล่าวถามขณะที่มองไปยังไคลน์ด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน

 

ไคลน์พยักหน้าให้เป็นคำตอบ

 

มันคือพฤกษามาตาแห่งแรงปรารถนา”คำตอบของไคลน์ทำให้แววตาของฟาบูติสั่นไหว

 

นั่นคือพระนามของพระองค์ในตอนนี้สินะ”ชายหนุ่มยืนยันบางสิ่งกับตัวเอง

 

เขาละสายตาจากไคลน์ไปมองร่างของกรีชาที่ยังคงหันความสนใจของตนไปยังการสร้างสิ่งกีดขวางที่ทรงพลังอำนาจเพื่อป้องกันการรุกรานจากเทพภายนอกในสถานที่แห่งนี้อยู่ด้วยสายตาที่เหม่อลอย

 

แต่มันก็ควรจะเป็นการดำรงอยู่เดียวกันและฉันรู้จักพระองค์ในพระนามของบิดาแห่งปิศาจ พระองค์ยังเป็นต้นกำเนิดของ 2 เส้นทางที่ฉันดำรงอยู่ในขณะนี้ด้วย”ดวงตาของฟาบูติสะท้อนแสงสว่างเรืองรองจากการแสดงอำนาจของกรีชาอย่างงดงามในนัยน์ตาที่ดำมืดนั้น

 

ฉันไม่มีทางหลุดรอดพ้นจากสายพระเนตรของพระองค์ได้เลยและไม่มีวันที่จะทำได้”เขาถอนหายใจออกมาและละสายตาออกไปจากจุดกำเนิดของแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์นั้นแล้วมองไปยังฝ่ามือของตัวเอง

 

มือของมนุษย์ที่เริ่มถูกเงามืดกัดกินทีละน้อยและซีดเซียวนี้

 

ฉันหยั่งรากลึกลงไปในเส้นทางเหล่านี้แล้วและไม่มีทางที่จะเปลี่ยนมันได้อีก...”ฟาบูติเงยหน้าขึ้นมามองไคลน์ขณะที่ดวงตาของเขาเริ่มปรากฏความมุ่งมั่น

 

สิ่งที่ฉันขอพวกคุณนั้นไม่ยากเย็นเลย... ฉันอยากให้คุณผนึกตัวฉันไว้ อย่าให้ตัวฉันที่บ้าคลั่งและถูกครอบงำอยู่สร้างความวุ่นวายและความชั่วร้ายเลย”ฟาบูติกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขณะที่เขากล่าวขอร้องในบางสิ่งที่เป็นเหมือนดังความตายของเขาเอง

 

ผนึก? ดวงตาของไคลน์ประกายแสงสว่างแห่งความคิด

 

แน่นอนว่าฟาบูติตัดสินใจและขอร้องให้ผนึกตัวเองไว้ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะตายหรือถูกทำให้หลับใหลไปตลอดกาล เขาขอร้องให้ไคลน์และกรีชาผนึกเขาไว้เผื่อที่วันหนึ่งเขาจะตื่นขึ้นมาและหลุดรอดพ้นจากโชคชะตาอันบัดซบนี้ได้

 

แต่... ยังไง? แน่นอนว่าไคลน์ก็คิดได้ถึงจุดประสงค์ของฟาบูติเช่นกัน แต่เขาไม่ทราบวิธีการที่อีกฝ่ายต้องการจะทำ

 

เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของไคลน์ ฟาบูติจึงแสดงรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมาและกล่าวว่า

 

แน่นอนว่ามันยากที่จะกลับมามีสติอีกครั้งได้แบบดี ๆ การผนึกตัวฉันเองไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ในระยะเวลาระหว่างที่ฉันกำลังรอไปทำร้ายหรือทำลายอะไรบางอย่างเข้าก็เท่านั้น”เงารอบ ๆ ตัวของฟาบูติสั่นสะท้านขณะที่เขาเริ่มเล่าจุดประสงค์และวิธีการของเขาที่เขาประสงค์จะทำ

 

ฉันจะชนะและกลายเป็นตัวของฉันเองได้มีเพียงวิธีเดียว... ฉันจะต้องแทนที่หรือไม่ก็กลายเป็นบิดาแห่งปิศาจเสียเองเพื่อที่จะหยุดยั้งการถูกครอบงำและปนเปื้อนรวมถึงความเชื่อมโยงที่แยกไม่ออกนี้กับพระองค์ได้”แววตาของฟาบูติสั่นไหวเมื่อพูดถึงแผนที่ช่างเป็นไปได้ยากยิ่ง

 

สิ่งนี้... ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไคลน์ยืนยันวิธีการที่ฟาบูติประสงค์จะทำภายในใจและรอฟังต่อไป

 

เมื่อฉันกลายเป็นบิดาแห่งปิศาจแล้ว ฉันจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติและบ่อเกิดของความชั่วร้ายรวมถึงการปนเปื้อนที่มีอยู่ในเส้นทางออกไป และถ้าทำไม่ได้ฉันก็จะพยายามลดผลกระทบและผลของอำนาจเหล่านั้นลงให้ได้มากที่สุด

 

เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเส้นทาง... นั่นเป็นไปได้ด้วยหรือ? ดวงตาของไคลน์เต็มไปด้วยคำถาม

 

เมื่อเห็นคำถามปรากฏในดวงตาของไคลน์ฟาบูติจึงตอบว่า

 

คุณอาจจะสงสัยว่ามันทำได้จริงไหมและมีโอกาสประสบความสำเร็จเท่าใดในแผนของฉัน... ฉันมีความเข้าใจบางส่วนในการปรับเปลี่ยนอำนาจของทวยเทพและแก่นแท้ของเส้นทาง ถึงแม้มันจะลบล้างหรือปรับไม่ได้ทั้งหมดก็ตามเพราะต้องคงแก่นของความเป็นดั้งเดิมเอาไว้แต่ผลลัพธ์ที่เหลือรวมถึงอำนาจย่อย ๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และสามารถลดผลกระทบจากสัญลักษณ์และอำนาจที่ไม่ต้องการได้ด้วย อาจจะต้องใช้การปราบปรามที่ทรงพลังมากรวมถึงการผนึกที่แข็งแกร่งแต่วิธีนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว”ชายหนุ่มบนบัลลังก์แห่งเงามืดถอนหายใจอีกรอบ

 

ความยากก็คือฉันต้องได้รับโลกแห่งความมืดแก่นแท้ที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ในทวีปตะวันตกนั่น และฉันควรจะได้รับมันก่อนวันโลกาวินาศที่จะมาถึงเพื่อปรับตัวและแย่งชิงอำนาจและสัญลักษณ์ของบิดาแห่งปิศาจให้เร็วที่สุด”ฟาบูติมองไปยังหมอกสีเทาที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ด้วยความครุ่นคิด

 

ดังนั้นพวกคุณจึงเป็นคนไม่กี่คนที่สามารถจะช่วยฉันได้”ดวงตาของเขามองตรงไปยังไคลน์โดยไม่ละสายตา

 

เมื่อได้ฟังแผนและความคิดของฟาบูติแล้ว ไคลน์ก็สนับสนุนสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะทำแล้วครึ่งหนึ่ง แต่การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูดและมันก็เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำ

 

ไม่ใช่แค่แย่งชิงอำนาจและสัญลักษณ์เพื่อที่จะกลายเป็นบิดาแห่งปิศาจเท่านั้น แต่เขายังจะต้องรักษาความเป็นมนุษย์ของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากพอเพื่อจะไม่หลงลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนถูกกลืนกินไปโดยสิ้นเชิงในระหว่างกระบวนการนั้น อีกทั้งยังต้องไม่ลืมความเสี่ยงของรอยประทับจิตที่มีอยู่ในตะกอนและแก่นแท้ด้วย

 

มันยากเสียยิ่งกว่ายากแต่...

 

มันมีความเป็นไปได้

 

และเมื่อมันมีความเป็นไปได้ ไคลน์ก็พร้อมยินดีที่จะสนับสนุนผู้คนจากยุคเดียวกันรวมทั้งเป็นคนที่มีความคิดที่อยากจะปกป้องโลกนี้จากเทพภายนอกด้วยเสมอ

 

ไคลน์พยักหน้าให้กับฟาบูติอย่างมั่นคง

 

ฉันจะพยายามผนึกคุณเอาไว้... และจะปลดปล่อยคุณออกมาในเวลาที่เหมาะสมเมื่อทวีปตะวันตกเปิดออกแล้ว”คำพูดของไคลน์ทำให้ฟาบูติมีสีหน้าที่ดีขึ้นแต่ก็แฝงไปด้วยความหนักหนาสาหัสของความเหงาและโดดเดี่ยวที่เขาจะต้องแบกรับในอีกหลายพันปีต่อจากนี้

 

และฉันมีวิธีการบางอย่างที่อาจจะส่งผลดีต่อการรักษาความเป็นมนุษย์ของคุณด้วย”เมื่อเห็นสีหน้าห่อเหี่ยวลงของฟาบูติ ไคลน์จึงกล่าวบางสิ่งขึ้นที่ทำให้แสงสว่างกลับมาปรากฏในแววตาของฟาบูติอีกครั้ง

 

เขาหันหน้าไปหากรีชาแล้วกล่าวถามว่า

 

“เราสามารถต่อกิ่งจิตสำนึกของเขาเอาไปเก็บไว้ในปราสาทต้นกำเนิดได้ไหม? แบบนั้นแล้วการปนเปื้อนและความเชื่อมโยงกับพฤกษามาตาแห่งแรงปรารถนาจะยังคงติดตามจิตสำนึกของเขาไปหรือไม่?”ไคลน์กล่าวถามกับเทพพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูมากที่สุดในตอนนี้

 

ดวงตาของกรีชาเปล่งแสงสว่างขึ้นแล้วค่อย ๆ สงบลง

 

ชายหนุ่มที่ยังคงทำหน้าที่เป็นบาเรียกั้นอยู่ตอบกลับคำขอของไคลน์กลับมาว่า

 

“ได้”น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นมาข้าง ๆ หูของไคลน์โดยตรงราวกับเสียงกระซิบและสายลมก็โบกพัดกระทบกับใบหูทำให้ไคลน์รู้สึกจั๊กจี้แปลก ๆ

 

ชายหนุ่มสลัดอารมณ์ที่บังเกิดขึ้นมาทิ้งออกไปแล้วหันมากล่าวกับฟาบูติว่า

 

ฉันสามารถต่อกิ่งจิตสำนึกของคุณเพื่อนำไปไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยจากการปนเปื้อนและความชั่วร้ายได้ ที่นั่นจะปิดผนึกพลังของคุณไว้ทำให้แก่นแท้และธรรมชาติของความเสื่อมทรามไม่มีอยู่จริงและคุณจะมีอิสระพอสมควรในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการรวมถึงการสอดส่องโลกความจริงด้วย”คำพูดของไคลน์ทำให้จิตใจของฟาบูติราวกับถูกแสงสว่างเติมเต็ม

 

ไคลน์ในตอนนี้ก็ราวกับเป็นพระเจ้าผู้มาโปรดตัวเขาเลย

 

แววตาของฟาบูติที่มีต่อไคลน์ก็พลันแปรเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณรวมถึงอารมณ์ดี ๆ ที่ตัวของฟาบูติเริ่มมีต่อไคลน์อีกด้วย

 

โดยที่ไคลน์ไม่ทันสังเกตเห็น แววตาของกรีชาที่เรืองรองด้วยแสงสว่างก็หม่นหมองลงชั่วขณะและแสงบริสุทธิ์จากร่างกายของเขาก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นอย่างเงียบ ๆ

 

กรีชารู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมากกับแววตาหวานชื่นนั้นของฟาบูติที่มองมาหาไคลน์

 

แต่จิตสำนึกของคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอยู่ตลอดเวลาและก็มีขีดจำกัดบางอย่างเมื่อคุณใช้จิตสำนึกลงมายังโลกความเป็นจริงด้วย ส่วนร่างกายของคุณจะยังคงถูกผนึกอยู่ที่นี่พร้อมกับจิตวิญญาณที่หลับใหลของคุณและคุณจะยังคงบ้าคลั่งและถูกครอบงำต่อไปจนกว่าแผนที่ว่าของคุณจะสำเร็จ”ไคลน์มองไปยังฟาบูติแล้วกล่าวถามซ้ำว่า

 

คุณต้องการไหม?

 

ฟาบูติพยักหน้าให้กับไคลน์โดยพลัน

 

ฉันต้องการมันแล้ว... ฉันต้องจ่ายอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือของคุณดี”ดวงตาของฟาบูติเปล่งประกายด้วยความดีใจ

 

ไคลน์ยิ้มอ่อนกับคำถามแล้วตอบไปว่า

 

ฉันจะไม่รับของตอบแทน ถือเสียว่ามันเป็นแค่ความช่วยเหลือของเพื่อนอย่างฉันเถอะ”สีหน้าของไคลน์นุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับพระผู้มาโปรด

 

ขอบคุณ”ฟาบูติตอบกลับด้วยความซาบซึ้ง แน่นอนว่าในใจของเขายังไงเขาก็ต้องหาวิธีมาตอบแทนความช่วยเหลือครั้งนี้ของไคลน์ให้ได้และจะไม่มีทางลืมเลือนความช่วยเหลือครั้งนี้แน่นอน

 

เอาล่ะ คุณมีอะไรจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ฉันจะปิดผนึกร่างกายและจิตวิญญาณของคุณไหม? ในขณะที่จิตสำนึกของคุณยังคงอยู่ในร่างนี้น่ะ”ไคลน์ถามขณะที่มองไปยังร่างของชายหนุ่มที่เริ่มถูกเงามืดกลืนกินบัลลังก์แห่งเงา

 

แน่นอน”ฟาบูติหัวเราะเล็กน้อยกับประโยคสุดท้ายของไคลน์

 

ฉันขอโทษแต่.. ฉันขอทราบชื่อของพวกคุณได้ไหม”เขามองไปที่ไคลน์จากนั้นก็กรีชาตามลำดับขณะที่กล่าว

 

โอ้! เสียมารยาทแล้ว ฉันชื่อโจวหมิงรุ่ยจากประเทศจีน เรียกฉันว่าไคลน์เฉย ๆ ก็ได้ ส่วนสหายชาวยุโรปท่านนั้น”ไคลน์แสดงรอยยิ้มสุภาพกล่าวแนะนำตัวก่อนที่จะหันหน้าและชี้ไปทางกรีชา

 

เขาชื่อกรีชาจากยูเครน”เมื่อแนะนำตัวเองและกรีชาให้ฟาบูติรู้จักแล้ว ไคลน์ก็หันหน้าไปหาฟาบูติอีกครั้ง

 

ไม่รู้ว่าพวกคุณทราบหรือยังแต่... ฉันชื่อฟาบูติ และขอบคุณมาก ๆ ที่พวกคุณยอมช่วยฉัน”ฟาบูติกล่าวด้วยความขอบคุณเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้ม

 

ไคลน์พยักหน้ารับคำขอบคุณนั้นเช่นเดียวกันกับกรีชา จากนั้นหมอกสีขาวอมเทารอบ ๆ ตัวขอเขาก็สั่นกระเพื่อมและเริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ

 

แสงสว่างเรืองรองจากร่างของกรีชาก็แผดแสงเจิดจ้าขึ้นราวกับดวงอาทิตย์ดวงที่สองกำลังจะเกิดขึ้น

 

ออร่าของไคลน์และกรีชาผสานเข้ากันได้อย่างลงตัวและสร้างความกดดันระดับสูงกว่าเทพเจ้าให้กับพื้นที่โดยรอบอย่างหนาแน่น และมันทำให้ฟาบูติรู้สึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะ

 

จากนั้นไคลน์และกรีชาก็แยกกันไปอยู่คนละด้านโดยมีร่างของฟาบูติบนลังลังก์เงาเป็นจุดศูนย์กลาง

 

ร่างของไคลน์ลอยสูงขึ้นจากพื้นพร้อมกับหมอกหนาสีขาวอมเทาที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา ด้านหลังของเขาปรากฏภาพของพระราชวังลวงตาโบราณขึ้นมาและบานประตูสีน้ำเงินเลื่อมทองที่ลึกลับและพิศวง

 

ขณะเดียวกันร่างเจิดจรัสของกรีชาก็ปรากฏร่องรอยของความปั่นป่วนและลมหายใจที่บรรพกาลและดั้งเดิมขึ้นมาเล็กน้อยจนผิดสังเกตุ ทว่าก็ยังอยู่ขอบเขตที่กรีชาคาดเดาไว้และมันสามารถระงับได้อยู่

 

ดวงตาของไคลน์และกรีชาสอดประสานเข้าหากันด้วยจุดประสงค์เดียว พวกเขาจ้องมองไปยังร่างของฟาบูติที่เริ่มเสื่อมสลายด้วยเงามืดอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวว่า

 

คุณพร้อมหรือยัง?”น้ำเสียงหนึ่งที่อ่อนนุ่มและอีกเสียงที่ทุ้มกว่าสอดประสานกันได้อย่างลงตัวราวกับเป็นคนคนเดียวกัน

 

ฟาบูติหลับตาลงอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวตอบภายในลมหายใจเดียวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

 

ฉันพร้อมแล้ว

 

สิ้นเสียงตอบรับจากฟาบูติ หมอกสีขาวอมเทาก็ระเบิดออกมาจากร่างของไคลน์ไหลถาโถมซัดเข้าร่างของฟาบูติที่อยู่บนบัลลังก์เงาทันทีราวกับคลื่นซัดด้วยความรุนแรง

 

ดวงตาของไคลน์เบิกกว้างขึ้นและแสงสว่างสีเทาก็เปล่งประกายออกมาจากดวงตาของเขา ด้านหลังของเขาภาพลวงของประตูลึกลับสีน้ำเงินเลื่อมทองก็เริ่มเด่นชัดขึ้น

 

นี่เป็นสัญญาณว่าไคลน์กำลังยืมอำนาจผนึกของเส้นทางประตูออกมาจนถึงขีดจำกัดสูงสุดที่ตัวเขาเข้าถึงได้แล้วในปัจจุบัน

 

ในเวลาเดียวกันแสงสว่างก็แผ่ออกมาจากกรีชาพัดปกคลุมไปทั่วบริเวณอย่างสมบูรณ์

 

หุบเหวแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างราวกับกลางวัน!

 

ไคลน์ยื่นมือออกมาด้านหน้าเข้าหาร่างของฟาบูติอย่างช้า ๆ ขณะที่หมอกสีขาวอมเทายังคงไหลเข้าไปรวมที่นั่นอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง

 

ริมฝีปากของเขาขยับและคำพูดของเขาก็ถูกเปล่งออกมาอย่างก้องกังวาลและต้องมนต์ขลัง

 

ผนึก

 

สัญลักษณ์ลึกลับของเส้นทางประตูปรากฏขึ้นเบื้องล่างและบนในบริเวณนั้นที่หมอกสีขาวอมเทาเข้าไปรวมตัวกันแน่นขนัด แสงสว่างเจิดจรัสก็เริ่มไหลเข้าไปรวมกับตราสัญลักษณ์นั้นอย่างรวดเร็ว

 

ผนึกกำลังก่อสร้างขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยพลังที่ใกล้เคียงกับเทพที่จริงของเส้นทางประตูโดยไคลน์ผ่านปราสาทต้นกำเนิด หมอกสีขาวอมเทาถูกดูดกลืนเข้าไปอย่างหนาแน่นและเริ่มแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วหุบเหวราวกับหุบเหวแห่งนี้กำลังถูกหมอกสีขาวอมเทาซัดเข้าท่วม

 

ไคลน์เทเลพอร์ตตัวเขาและกรีชาออกไปสู่ปากทางเข้าของหุบเหวในทันที

 

ในขณะที่แผ่นศิลาเย้ยเทพและกรีชายังคงผสานกันอยู่เพื่อกีดกั้นการสอดรู้และความเชื่อมโยงจากเทพภายนอก ไคลน์ยังคงมั่นใจว่าเขาสามารถทำอะไรก็ตามที่เขาต้องการได้!

 

ในปากทางเข้าของหุบเหวที่เห็นไปเกาะซึ่งปกคลุมไปด้วยม่านหมอกและภายในทวีปที่มีแต่ความมืดนั้น

 

สัญลักษณ์ของเส้นทางประตูขยายใหญ่ขึ้นจนกลืนกินไปทั้งทวีปเสริมกับพลังของกรีชาที่เข้มข้นกว่าในอำนาจของแสงสว่างและการชำระล้างมลทิน ไคลน์นำมือของเขาทั้งสองเข้าประกบกันจนเกิดเสียง

 

ดังก้อง!

ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ผนึกจะเสร็จสมบูรณ์ ไคลน์ให้ร่างโคลนของเขาบนปราสาทต้นกำเนิด‘ต่อกิ่ง’จิตสำนึกของฟาบูติจากร่างกายและจิตวิญญาณที่หลับใหลไปของเขาในหุบเหวออกมาเข้าสู่ปราสาทต้นกำเนิดโดยตรง

 

ก่อนที่หุบเหวจะถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์!

 

อย่างน้อยในอีกไม่กี่พันปี หุบเหวแห่งนี้ก็จะไม่สามารถสร้างความวุ่นวายอะไรให้กับโลกใบนี้ได้อีก และมันจะเป็นเช่นนั้นดังความคิดของไคลน์ก็ต่อเมื่อ ตัวของไคลน์เองกับกรีชาผู้รวมพลังกันเพื่อปิดผนึกไม่ได้เป็นอะไรไปเสียก่อน

 

เมื่อการปิดผนึกเสร็จสิ้นลงแล้ว กรีชาก็รีบตัดความเชื่อมโยงกับทะเลแห่งความโกลาหลลงทันทีเพื่อป้องกันการลุกลามของรอยประทับจิตดดั้งเดิมในร่างของตัวเขาเอง ขณะที่เรียกศิลาเย้ยเทพกลับมา

 

แสงสว่างจากร่างกายของเขาริบหรี่ลงจนในที่สุดก็หายไป

 

ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงลอยเข้าไปหาไคลน์พร้อมกับแผ่นศิลาเย้ยเทพในมือด้วยสีหน้าอ่อนโยนขณะที่ไคลน์ยังคงจ้องมองเข้าไปในหุบเหวที่ถูกปิดผนึกเอาไว้อยู่

 

“นี่เป็นของคุณ”กรีชากล่าวเรียกสติของไคลน์จากภวังค์ขณะที่เขายื่นแผ่นศิลาเย้ยเทพให้

 

ไคลน์มองไปยังกรีชาด้วยแววตาสั่นไหวเล็กน้อย

 

 

กรีชาสบตากับไคลน์และเข้าใจถึงความรู้สึกของไคลน์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

ในดวงตาคู่นั้นของไคลน์นอกจากความมั่นคงและอ่อนโยนแล้วยังปรากฏเสี้ยวหนึ่งของความกลัวด้วย

 

“อย่างกังวลไปเลย... เขาจะไม่เป็นอะไร”กรีชากล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแล่ะอ่อนโยนอย่างยิ่งขณะที่เขาใช้ช่วงเวลานี้เพื่อแอบเอาเปรียบไคลน์

 

ฝ่ามือหยาบแต่อบอุ่นและใหญ่กว่าของกรีชาลูบไล้แก้มนุ่มของไคลน์อย่างแผ่วเบาขณะที่ไคลน์ยังตกอยู่ในภวังค์สายตานั้น

 

มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่ไคลน์จะได้สติ

 

“ขอบคุณ...”ไคลน์กล่าวเสียงเบาหวิวขณะที่หันกลับไปมองในหุบเหวที่ถูกผนึกเอาไว้อีกครั้ง แน่นอนว่าตัวเขายังไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อกี้ถูกกรีชาเอาเปรียบไปแล้วเพราะในใจของไคลน์ยังคงมีความกังวลบางอย่างอยู่

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันที่เข้าร่วมเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์... แต่ครั้งก่อน ๆ นั้นผลลัพธ์ของมันยังคงเป็นเหมือนเดิม ลิลิธตายตามแผนการที่วางเอาไว้ เฟรเกลียและควาสตีร์ก็ต่างร่วงหล่น... ลมหายใจของไคลน์หยุดชะงัก

 

แต่การกระทำของฉันในครั้งนี้ มันจะเหมือนกับในไทม์ไลน์ก่อนหรือไม่? จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม และ-

 

อนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า? ดวงตาของไคลน์ที่จ้องมองไปยังหุบเหวที่ปิดสนิทนั้นสั่นไหว

 

“ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร”เสียงของกรีชาดังขึ้นมาจากด้านหลัง คราวนี้มันทำให้ไคลน์รู้สึกผ่อนคลายลงได้จริง ๆ อย่างน่าประหลาด

 

ไคลน์ถอนหายใจแล้วหันหน้ากลับมาหากรีชา

 

“ฉันโอเคแล้ว ขอบคุณ” ไคลน์กล่าวเสียงเบาขณะที่มองไปยังกรีชา

 

ด้านหลังของเทพสุริยะผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและร่างกายที่แข็งแกร่งราวเทพเจ้าได้ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์เอง

 

ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว

 

“กลับกันเถอะ” ไคลน์กล่าวด้วยแววตาละเอียดอ่อนและนุ่มนวล

 

ดวงตาของกรีชาอ่อนโยนขึ้นภายใต้แสงจากรุ่งอรุณที่แผดออกมาจากด้านหลังของเขา

 

“อืม..."กรีชาพยักหน้าให้ไคลน์ เขาแอบเอามือของตัวเองคว้ามือของไคลน์ไว้อย่างรวดเร็ว

 

"กลับกันเถอะ” 

 

จากนั้นทั้งสองคน ร่างหนึ่งสูงกำยำอีกร่างหนึ่งเตี้ยสมส่วนก็พลันหายวับไปจากมหาสมุทรแห่งนี้ ทิ้งไว้เพียงผิวน้ำและคลื่นแผ่วเบาที่สะท้อนแสงระยิบระยับของรุ่งอรุณ

 

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว

 

 

 

Notes:

ผมจะต้องไปเรียนเพราะจะเปิดภาคเรียนในเร็ว ๆ นี้

การอัพเดตฟิคนี้ก็จะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดกว่าแต่ก่อนนะครับ แต่ผมจะพยายามหาเวลาว่างมาอัพเดตเรื่อย ๆ

หวังว่าจะชอบกันนะ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 3: สิ่งที่หลงลืมและบางสิ่งที่ไม่แน่ใจ

Summary:

ไคลน์ลืมอะไรบางอย่าง กรีชาก็ลืมด้วย

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

หลังจากบอกลากรีชาแล้ว ไคลน์ก็เข้าสู่ปราสาทต้นกำเนิดในทันทีเพื่อเตรียมตรวจสอบจิตสำนึกของฟาบูติที่ถูกต่อกิ่งเข้ามาไว้ก่อนแล้ว

 

แต่ความรู้สึกประหลาด ๆ ของบางสิ่งที่ไคลน์สัมผัสได้บนใบหน้าของตัวเองนั้นทำให้ตัวเขาเองรู้สึกตะหงิดใจแปลก ๆ เหมือนเขากำลังลืมอะไรบางอย่างไปแต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

 

ในพระราชวังโบราณท่ามกลางหมอกสีขาวอมเทาที่ร่างกายของเจ้าของปรากฏขึ้นบนเก้าอี้พนักพิงสูงของหัวโต๊ะสำริดเก่าแก่ ชายหนุ่มกำลังตกอยู่ในความคิดบางอย่าง

 

ศิลาเย้ยเทพฉันก็ได้คืนแล้ว... ฉันลืมอะไรไป? สัญชาตญาณทางจิตวิญญาณของเขาส่งสัญญาณเตือนเบา ๆ ขณะที่เขาพยายามนึกคิดอะไรบางอย่าง

 

สุดท้ายไคลน์ก็ตัดสินใจใช้การพยากรณ์เพื่อจดจำสิ่งที่ตัวเขาคิดว่าลืมไป

 

สาเหตุที่ทำให้ฉันกังวลในตอนนี้ ….

 

ภาพและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องก็ปรากฏภายในใจของไคลน์ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาทำนายฝัน มันเป็นข้อมูลจากโลกแห่งวิญญาณที่เป็นศูนย์รวมของอดีต ปัจจุบัน และอนาคตโดยตรง

 

และสิ่งที่ปรากฏให้เขาเห็นและได้รู้ก็ทำให้ไคลน์ได้กระจ่างแจ้งถึงบางสิ่งที่ทำให้ตัวของเขาเองเป็นกังวล รวมถึงว่าทำไมสัญชาตญาณทางจิตวิญญาณถึงได้ส่งเสียงเตือน

 

ในนิมิตของไคลน์ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยหมอกสีขาวอมเทาและแสงสว่าง เขาเห็นกรีชาและฟาบูติรวมทั้งตัวเขาเองในภาพนั้น นั่นแสดงให้เห็นว่าสาเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นที่เขาและกรีชาปิดผนึกฟาบูติ

 

ท่ามกลางแสงสว่างสาดส่องและม่านหมอกสีเทา ไคลน์ในภาพนิมิตรับบางสิ่งมาจากกรีชา เป็นบางสิ่งที่คุ้นเคยและมีออร่าของหมอกสีเทา

 

มันคือแว่นตาขาเดียว!

 

อาการเครียดหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญบางอย่างก็รื้อฟื้นขึ้นมาในตัวของไคลน์ในทันที และแม้แต่ความเป็นเทพของเขายังสั่นสะท้านไปด้วย

 

ไคลน์ในภาพนิมิตยกแว่นตาขาเดียวนั้นซึ่งเป็นความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางข้อผิดพลาดซึ่งปรองดองกับกรีชาอยู่ขึ้นมาในระดับใบหน้า และก็สวมมันลงไปบนเบ้าตาข้างขวา

 

หลังของไคลน์สั่นสะท้านกับอารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่กรีดร้อง พลันภาพนิมิตทั้งหมดก็เลือนหายไปจากการรับรู้ของเขาและเขาก็กลับมาอยู่ในพระราชวังโบราณแห่งหมอกสีขาวอมเทาอีกครั้ง

 

ไคลน์ถอนสายตาไปมองโต๊ะสำริดยาวและเก้าอี้พนักพิงรอบ ๆ ที่ไร้ผู้คนแล้วระงับอารมณ์ของตัวเอง

 

นั่นสินะ... เหตุการณ์สะเทือนขวัญหลังจากที่ได้พบกับอามุนด์นั้นเป็นสิ่งที่ไคลน์ไม่สามารถลบมันออกจากความทรงจำได้ มันได้กลายเป็นเงาที่ฝังในเกาะแห่งจิตใจของไคลน์ไปแล้ว และในสถานการณ์ปัจจุบันของไคลน์เองที่อามุนด์ไม่ใช่ภัยคุกคามเลย เขาคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะไม่ขจัดข้อเสียนี้ออกไป ในเวลาจำเป็นมันยังสามารถเพิ่นพูนความเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย

 

ไคลน์ยกมือของตัวเองขึ้นท่ามกลางหมอกหนาไปสัมผัสกับแว่นตาขาเดียวที่ยังคงให้สัมผัสแปลก ๆ และเรียกร้องให้เขากลืนกินและหลอมรวมกับมันอยู่เรื่อย ๆ นี้อย่างช้า ๆ

 

ฉันลืมคืนมันให้กับกรีชา ไคลน์คิดขณะที่เขาถอดความเป็นเอกลักษณ์ออกมาจากใบหน้าด้วยสีหน้ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย

 

หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป ความสมดุลของรอยประทับจิตในร่างของเขาอาจจะเสียหายได้หากขาดความเป็นเอกลักษณ์นี้ที่จะไปถ่วงดุลมัน ไคลน์กำความเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ด้วยมือสั่น ๆ ขณะที่ส่งข้อความไปหากรีชาผ่านความเชื่อมโยงของกรีชากับไคลน์ที่ค่อนข้างลึกซึ้ง

 

 

 

 

ฉันลืมคืนความเป็นเอกลักษณ์ให้กับคุณ”เสียงลวงตาแผ่วเบาทว่าชัดเจนปรากฏขึ้นในโสตประสาทการรับรู้ของกรีชาโดยตรงพร้อมกับหมอกสีขาวอมเทาที่ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

 

เบื้องหน้าของเขาเปลี่ยนจากวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบมาเป็นพระราชวังใหญ่โตและโบราณท่ามกลางหมอกหนา

 

“ฉันก็ลืมทวงคุณเหมือนกัน”กรีชาหลงลืมไปจริง ๆ ตามคำกล่าวของเขา

 

แน่นอนเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นพลังอำนาจบางอย่างที่บงการเขาให้ลืมเรื่องการทวงคืนความเป็นเอกลักษณ์ของข้อผิดพลาดจากไคลน์ และเพื่อให้สมดุลในรอยประทับจิตของเขาเสียหายซึ่งจะเกิดผลร้ายกับเขาเป็นอย่างมาก

 

นั่นน่าจะเป็นการโน้มน้าวและอำนาจที่ทรงพลังมากจากรอยประทับจิตภายในกายของกรีชาเองที่เป็นคนทำ

 

“มันยังปลอดภัยใช่ไหม?”ไคลน์ลุกแล้วเดินเข้ามาหากรีชาด้วยสายตาเป็นห่วงและกังวล

 

เมื่อเห็นความกังวลดังกล่าวของไคลน์แววตาของกรีชาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความสุข ทว่าเขาก็เก็บซ่อนมันเอาไว้จากไคลน์ได้อย่างแนบเนียน

 

ชายหนุ่มร่างกำยำในผ้าอาภรณ์สีขาวผืนเดียวราวกับเทพเจ้ากรีกสั่นศีรษะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ว่า

 

“ฉันไม่แน่ใจ...”กรีชาแสดงสีหน้าและน้ำเสียงที่ลังเลเล็กน้อย

 

ดวงตาของไคลน์เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจและไม่ทันที่กรีชาจะได้กล่าวอะไรต่อ ฝ่ามือนุ่มของไคลน์ก็สัมผัสลงไปบนแผ่นอกแน่นของกรีชาที่เปลือยเปล่าในทันที

 

ไม่ใช่ว่าไคลน์ต้องการสัมผัสกรีชาในความเชิงเพศศึกษานะ แต่เขาทำเพื่อตรวจสอบความสมดุลของรอยประทับจิตในร่างของกรีชาต่างหาก

 

และเมื่อเห็นไคลน์ติดกับดัก รอยยิ้มที่มุมปากของกรีชาก็ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้อีก ชายเจ้าเล่ห์มากแผนการนำมือที่ใหญ่กว่าของตนกอบกุมมือเล็กของไคลน์ไว้ขณะที่ยังคงสัมผัสหน้าอกของตนบริเวณหัวใจอยู่อย่างช้า ๆ

 

ไคลน์หลับตาและขมวดคิ้วด้วยความสับสนและไม่แน่ใจ

 

เขาตรวจพบว่ารอยประทับจิตในกายของกรีชานั้นเสียสมดุลไปเล็กน้อย และพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพก็ตื่นตัวขึ้นมาเพียงชั่วครู่และหลับลงไปอีกรอบ เหลือเพียงเจตจำนงดั้งเดิมที่สุดที่เริ่มต่อสู้กับรอยประทับจิตของลอร์ดแห่งความลึกลับเท่านั้น

 

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ไคลน์ก็แทบจะสะบัดมือของตัวเองออกไปแทบไม่ทัน

 

“คุณ!”ไคลน์กล่าวเรียกกรีชาอย่างตกใจขณะที่เขานำมือของตัวเองออกมาและสลัดออกจากการกอบกุมของกรีชา

 

ความอบอุ่นยังคงประทับรอยบนมือของไคลน์อยู่ และในขณะที่ใบหน้าของไคลน์เริ่มแดงขึ้นเพราะทั้งเขินอายและมึนงง กรีชาก็แสดงสีหน้าและท่าทางที่เสียดายออกมา

 

ไคลน์หันหลังให้กับกรีชาเพื่อซ่อนสีหน้าของตัวเองอย่างลุกลี้ลุกลนโดยลืมสิ้นอำนาจของตัวเองและพลังไปทั้งหมด

 

เหมือนเขาตกอยู่ในอำนาจของความโง่เขลาและตาบอดของตัวเอง!

 

กรีชาถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาดังกล่าวของไคลน์

 

ริมฝีปากของเขาขยับแล้วกล่าวเรียกชื่อของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบาและมีความหมาย

 

“ไคลน์...”

 

ไม่ทันที่กรีชาจะได้กล่าวโน้มน้าวหรือพยายามจะพูดอะไรกับไคลน์กันแน่ ไคลน์ไม่รับฟัง

 

ชายหนุ่มร่างผอมเพรียวในชุดคลุมสีดำและเหลืองหันหน้ากลับมาหาร่างของชายที่โตกว่าอย่างรวดเร็ว

 

ไคลน์ยัดแว่นตาขาเดียวซึ่งเป็นความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางข้อผิดพลาดที่ยืมมาจากอีกฝ่ายลงไปบนฝ่ามือหยาบ ๆ ทั้งใหญ่และอบอุ่นของกรีชาด้วยความไวว่อง

 

ภายใต้ใบหน้าแดงซ่านของไคลน์ที่ปรากฏความสับสน ความไม่เชื่อ และความเขินอายขั้นสูงสุด

 

ไคลน์ขับไล่กรีชาออกไปจากปราสาทต้นกำเนิดในทันทีเพื่อตัดปัญหา

 

เมื่อกรีชาจากไปแล้ว ชายหนุ่มก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้พนักพิงสูงอันเป็นที่นั่งของเดอะฟูล

 

เกิดอะไรขึ้นกับกรีชา.... เกิดอะไรขึ้นกับฉัน!  ไคลน์นั่งจมลงไปในภวังค์ความคิดอย่างสับสนวุ่นวายและด้วยใบหน้าแดงเรื่อ รวมทั้งความเป็นมนุษย์แปลก ๆ ที่ตัวเขาไม่เคยมีก็ได้ปรากฏขึ้นมา

 

อารมณ์บางอย่างของมนุษย์ที่บริสุทธิ์มากและตัวของเขาเองไม่เคยคิดว่าจะได้มีเหมือนมนุษย์ปกติ

 

แค่คิดไคลน์ก็ไม่อยากจะเชื่อแล้ว

 

“ฉันทำบ้าอะไรลงไป..”เขาครวญครางด้วยน้ำเสียงคร่ำครวญขณะที่ทุบโต๊ะสำริดโบราณอย่างแรง

 

ปัง!

 

ชายหนุ่มหมอบศีรษะของตัวเองลงบนโต๊ะสำริดเย็นและแข็งขณะที่พยายามสลัดความคิดและจินตนาการของตัวเองออกไปให้พ้น

 

มันเป็นแค่สิ่งที่เพื่อนเขาทำกันปกติ... มันไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรเลย ใช่- มันปกติทุกอย่าง และแม้แต่สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ไคลน์ก็ไม่มีความกล้าที่จะพยากรณ์อะไรเลย

 

เขากลัวว่าคำตอบของการพยากรณ์จะไม่ใช่ดังที่เขาคาดหวังเอาไว้

 

หลังจากตกลงไปในความเงียบงันเป็นเวลานาน เขาก็สงบสติอารมณ์ของตัวเองได้เสียที และนำความทรงรวมทั้งอารมณ์เหล่านี้เข้าไปไว้ในส่วนลึกเพื่อซ่อนพวกมัน และเขาก็ทำตัวราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

 

จากนั้นไคลน์ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้พนักพิงที่นั่งของตัวเอง ร่างในชุดคลุมยาวสีดำและเหลืองก้าวเดินผ่านหมอกสีขาวอมเทาออกจากเขตของพระราชวังโบราณที่คุ้นเคยอันเป็นสถานที่จัดประชุมสมาคมไพ่ทาโรต์ไปเรื่อย ๆ ในขอบเขตของโลกแห่งหมอกสีขาวอมเทา

 

ห่างออกไปจากพระราชวังโบราณท่ามกลางหมอกจนเห็นปราสาทนั้นได้แค่ภาพลาง ๆ เท่านั้น ที่นั่นเบื้องหน้าของไคลน์ท่ามกลางพื้นที่ว่างเปล่าที่มีแต่หมอกก็มีกลุ่มก้อนจิตสำนึกของบางสิ่งอยู่

 

มันเป็นกลุ่มก้อนแสงสว่างทรงกลมทว่าผืนผิวของมันนั้นเป็นดังน้ำที่มีริ้วคลื่นวุ่นวายซัดไปมาอยู่ตลอดเวลา และสีของมันนั้นเป็นสีดำของเงาและออร่าของความชั่วร้าย

 

ชายในชุดคลุมสีดำและเหลืองยาวเฟื้อยโบกมือของเขาท่ามกลางม่านหมอก และแล้วออร่าสีดำบนก้อนจิตสำนึกที่หลับใหลอยู่นั้นก็ถูกกัดเซาะด้วยม่านหมอกหนารอบ ๆ และจางลงจนกลายเป็นภาพลวงบาง ๆ

 

ไคลน์ได้ปิดผนึกอำนาจและสัญลักษณ์บางอย่างที่ติดตามจิตสำนึกของฟาบูติเข้ามาด้วยระดับของการดำรงอยู่ที่สูงกว่าผ่านปราสาทต้นกำเนิด และขจัดภัยซ่อนเร้นจากจิตสำนึกนั้น

 

เมื่อเห็นออร่าสีดำและเงามืดถูกปิดผนึกลงไปแล้วอย่างง่ายดาย ไคลน์ก็กระตุ้นกลุ่มก้อนแสงสว่างสีดำตรงหน้าที่สงบลมนั้นและปลุกจิตสำนึกของฟาบูติให้ตื่นขึ้น

 

ก้อนจิตสำนึกตรงหน้าสั่นสะท้านในหมอกและระเบิดออกเป็นเงามืดพร่ามัวมากมายและพวกมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นร่างกายของมนุษย์

 

เมื่อเงามืดมีเสถียรภาพมากพอแล้ว ใบหน้าที่คมคายและดุดันอันคุ้นเคยของชายหนุ่มผมสีดำและผิวสีเข้มก็ปรากฏออกมาจากม่านเงา

 

“ได้เวลาตื่นแล้ว”น้ำเสียงสงบของไคลน์ราวกับกระดิ่งแจ้งเตือน จิตสำนึกของฟาบูติสั่นไหวและร่างของจิตสำนึกตรงหน้าของไคลน์ก็ค่อย ๆ ลืมตาสีดำสนิทของเขาขึ้นมาช้า ๆ

 

“ฉัน...”ฟาบูติที่ได้รับจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ปราศจากการแทรกแทรงและครอบงำโดยแก่นแท้ของความชั่วร้ายหรือเทพภายนอกองค์ใดนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

“ตอนนี้คุณปลอดภัยเพียงพอบนปราสาทต้นกำเนิดนี้”ไคลน์พยักหน้าให้กับฟาบูติด้วยรอยยิ้ม

 

จากนั้นเขาก็สร้างสถานที่พำนักให้กับฟาบูติขึ้นในดินแดนที่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยหมอกสีขาวอมเทา แน่นอนว่าก็ได้จัดวางสิ่งที่สะดวกสบายให้กับอีกฝ่ายด้วย

 

มันปรากฏห้องอันอบอุ่น มีเครื่องเรือนครบครันและทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ที่กลางห้องมีแอ่งน้ำพุตั้งอยู่ซึ่งฟาบูติสามารถใช้สอดส่องโลกความเป็นจริงและสืบเชื้อสายลงไปได้เป็นระยะ ๆ

 

แน่นอนว่าฟาบูติจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากไคลน์ในการฉายภาพทางจากช่องว่างแห่งประวัติศาสตร์เพื่อฉายร่างจิตสำนึกที่ตื่นแล้วของฟาบูติจากปราสาทต้นกำเนิดให้ปรากฏบนโลกความจริง และให้ฟาบูติที่ปลอดภัยจากมลทินทุกรูปแบบบนปราสาทต้นกำเนิดย้ายจิตสำนึกของเขามาไว้ในภาพฉายนั้น

 

ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ฟาบูติลงไปใช้ชีวิตที่เขาต้องการได้บนโลกความจริงแต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างเช่นกัน นั่นคือเขาจะต้องย้ายจิตสำนึกกลับมาบนปราสาทต้นกำเนิดเป็นระยะ ๆ ถ้าให้ชัดเจนคือทุก ๆ 6 ชั่วโมงฟาบูติจะต้องย้ายจิตสำนึกกลับมาบนปราสาทต้นกำเนิดและอยู่อย่างน้อย 30 นาทีเพื่อป้องกันการกัดเซาะและความเชื่อมโยงจากร่างกายเนื้อของเขาที่ถูกปิดผนึกอยู่ส่งมาถึงร่างจิตสำนึกได้

 

และเพื่อเสริมผนึกที่ไคลน์ทำไว้เพื่อผนึกออร่าและแก่นของความชั่วร้ายที่ติดตามมากับจิตสำนึกของเขาด้วย และข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดคือฟาบูติไม่สามารถใช้ความสามารถใด ๆ จากเส้นทางหุบเหวและผู้ถูกล่ามได้ ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งจากกายเนื้อและกายวิญญาณของเขาที่ถูกผนึกอยู่มาหาร่างจิตสำนึกของเขาและเกิดมลทินอีกรอบ

 

ฟาบูติยอมรับทุกเงื่อนไขด้วยความดีใจและตื่นเต้นก่อนที่จะขอไคลน์เพื่อลองสืบเชื้อสายไปบนโลก และเริ่มการออกท่องเที่ยวโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้

 

และห้องของฟาบูติบนปราสาทต้นกำเนิดนั้นก็ปลอดภัยพอสำหรับไคลน์ เพราะฟาบูติจะไม่สามารถออกมาจากห้องของเขาเองได้หากไคลน์ไม่ได้รับอนุญาต มันเป็นสิ่งที่ไคลน์ป้องกันเอาไว้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจฟาบูติแต่เพราะความลับของเขาและบางสิ่งในปราสาทต้นกำเนิดนั้นค่อนข้างอันตรายสำหรับจิตสำนึกของฟาบูติ หากฟาบูติเดินเพ่นพ่านแล้วไปเจอกับบางสิ่งที่เขาไม่ควรจะเห็นเข้าในหมอกสีเทา จิตสำนึกของเขาอาจได้รับอันตรายก็ได้

 

เมื่อจัดการเรื่องของฟาบูติเสร็จแล้วและเห็นว่าไม่มีอันตรายเลยสำหรับฟาบูติในร่างฉายภาพที่จะโลดแล่นไปบนโลกความจริงเสริมด้วยอำนาจลับจากปราสาทต้นกำเนิด แม้จะเจอเทพที่แท้จริงเขาก็สามารถหลบหนีกลับมายังปราสาทต้นกำเนิดได้ตลอดเวลา อีกทั้งร่างของฟาบูติก็เป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา 100% ปราศจากพลังและความสามารถเพราะถูกผนึกเอาไว้โดยไคลน์

 

ชายหนุ่มในหมอกหนาจึงละสายตาออกจากฟาบูติบนโลกความจริงแล้วกลับไปยังพระราชวังโบราณท่ามหมอกหนาอีกครั้ง

 

ไม่ทันที่ไคลน์จะได้หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ สัญญาณเตือนว่าประชุมในสภาแสงสนธยากำลังจะเริ่มต้นก็ดังขึ้นในจิตวิญญาณของเขา

 

นี่คือการทำงานล่วงเวลาที่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธได้ ไคลน์บ่นพึมพำในใจด้วยความขบขัน จากนั้นร่างของชายหนุ่มก็หายวับไปพร้อมกับแสงสีแดงฉานในทันที

 

 

 

 

 

ในห้วงลึกแห่งอำนาจและสัญลักษณ์ ดินแดนที่ตัดขาดโดยสิ้นเชิงกับโลกความเป็นจริง โลกดารา และโชคชะตา สถานที่ที่ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดทว่าก็ยังคงมีการต่อกิ่งบางอย่างที่เชื่อมกับโลกทั้งหมดเอาไว้

 

ท่ามความอลังการของโลกที่แสดงให้เห็นถึงพลังของเสาหลักทั้ง 4 ประการ อำนาจและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องล้นแล้วแต่บรรจบกันที่นี่ ใต้พื้นของโต๊ะกลมที่ทำจากสำริดนี้ ล้อมรอบด้วยบัลลังก์อันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4

 

ราวกับสภาแห่งเทพก็ไม่ปาน

 

แสงสว่างเรืองรองปรากฏขึ้นบนบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยสีเขียวและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ร่างกายของหญิงสาวผู้งดงามปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงสีชาดบางเบา กลิ่นอายแห่งชีวิตแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ

 

เคียงข้างบัลลังก์ของเธอแสงสว่างสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นที่บัลลังก์ข้าง ๆ นั้น ดอกวานิลลายามค่ำคืนส่องประกายแสงสว่างอ่อน ๆ ระยิบระยับ ร่างสูงโปร่งสง่างามของเทพธิดาในชุดเดรสคลากสิกสีดำก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับกลิ่นอายแห่งความสงบสุขและการหลับใหล

 

อีกฝั่งของโต๊ะกลมแสงสว่างสีทองศักดิ์สิทธิ์และเรืองรองก็แผดจ้าไปทั่วบัลลังก์ที่สูงศักดิ์และทรงอำนาจ ร่างของเทพเจ้าหนุ่มปรากฏกายขึ้นบนบัลลังก์นั้นพร้อมกับแสงจ้าราวกับดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน ใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาและรูปกายราวกับถูกแกะสลักภายใต้ผ้าสีขาวผืนเดียวนั้นทำให้พระองค์ดูสูงส่งยิ่งกว่าใครทั้งหมด

 

เคียงข้างบัลลังก์สีทองของพระองค์ บัลลังก์แห่งความเร้นลับพลันปรากฏหมอกสีเทาหนาแน่นขึ้นและก่อตัวเป็นร่างของมนุษย์ แสงบริสุทธิ์ 7 สีสั่นสะท้านและเริ่มเปล่งประกายเจิดจรัสไปทั่วทั้งโลกนี้พร้อมกันกับหมอกสีขาวอมเทาที่แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วอย่างช้า ๆ

 

ไคลน์ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าสงบขณะที่เขาหันหน้าไปมองอามานิสอย่างสำรวจ

 

เทพธิดาแห่งรัตติกาลผู้สังหารเฟรเกลียและเก็บเกี่ยวรางวัลมากที่สุดหลังสงครามเทพเจ้านั้นปรากฏกายของพระองค์ด้วยออร่าความเงียบสงบและการหลับใหลอย่างเช่นเคย แต่ไคลน์สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของนาง

 

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพแล้วจิตวิญญาณของนางรวมทั้งพลังอำนาจและสัญลักษณ์ก็ถูกยกระดับขึ้นมหาศาลทำให้นางใกล้จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับบัลลังก์นี้ของนางแล้ว และอำนาจใหม่ของนางก็ถูกฉายให้เห็นบนพื้นที่แห่งนี้ไปแล้ว

 

อามานิสเทพีแห่งโชคร้ายสวมชุดเดรสคลาสสิกสีดำสนิท แต่จากครั้งก่อนที่ชุดของนางเรียบง่ายไม่ประดับประดาสิ่งใด คราวนี้ชุดเดรสสีดำสนิทของนางมีประกายระยิบระยับแวววับบนนั้นราวกับว่านั่นคือผืนฟ้าในรัตติกาลที่ประดับไปด้วยดาราเปล่งประกาย

 

และสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือหลังศีรษะของนางนั้นนอกจากออร่าสีขาวสว่างสาดส่องเป็นวงกว้างแล้ว ยังมีวงกลมสีแดงเข้มปรากฏที่นั่นด้วยและมีภาพลวงของจันทร์แดงปรากฏบนหลังศีรษะของนาง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจ้าของคนปัจจุบันของความเป็นเอกลักษณ์แห่งจันทร์ชาด

 

ไคลน์พยักหน้าทักทายอามานิสอย่างเป็นกันเองและเหลือบมองไปยังลิลิธ

 

ลิลิธบรรพบุรุษแห่งโลหิตผู้ถูกสังหารได้สำเร็จตามแผนการและเกิดเป็นการร่วงหล่นครั้งใหญ่ซึ่งได้สังหารเทพโบราณ 1 คนโดยตรงนั้นปรากฏกายบนบัลลังก์ของนางด้วยออร่าที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน

 

ร่างกายขาวผ่องของนางไม่ซีดเซียวอีกต่อไป ลมหายใจแห่งชีวิตและความงามนั้นสูญหายไปอย่างสิ้นเชิงทว่าสัญลักษณ์อย่างชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ก็ยังคงปรากฏอยู่ทว่าอ่อนแออย่างสิ้นเชิง

 

ออร่าและแสงสีชาดหลังศีรษะของนางหายไปแล้ว เครื่องประดับของนางกลายเป็นดอกไม้และเถาวัลย์ ดวงตาสีแดงก่ำของนางกลายเป็นสีเขียวอ่อนระยิบระยับ ผมสีดำสนิทของนางกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน

 

และแม้จะถูกพรากอำนาจของเทพีแห่งความงามไป นางก็ยังคงความงามบางอย่างตามธรรมชาติเอาไว้

 

ไคลน์พยักหน้าทักทายลิลิธและหันศีรษะไปมองคนข้างกาย

 

กรีชาก็....

 

เมื่อคิดไปถึงเรื่องบางเรื่องไคลน์ก็รีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากใจในทันที

 

เขาหันศีรษะไปข้างหน้าโดยพยายามไม่สนใจสายตาของกรีชาที่มองมาหาเขาจากข้าง ๆ

 

ไคลน์ประสานมือเข้าหากันแล้วแสดงรอยยิ้มให้กับเทพธิดาทั้งสององค์ตรงหน้า

 

เขากล่าวขึ้นว่า

 

“ขอบคุณพวกคุณที่ทำงานหนักนะ”

 

Notes:

ผมประหลาดใจกับตัวเองมากว่าสามารถอัพเดตตอนต่อไปในทันทีได้อย่างไรภายในวันเดียว lol

ตอนนี้ไคลน์เริ่มเอะใจอะไรบางอย่างจากการกระทำของกรีชาแล้ว และแน่นอนว่ามันจะค่อยเป็นค่อยไป เขายังไม่ยอมรับมันในตอนนี้และอาจจะเขินไปอีกสักพัก แต่เขาจะค่อย ๆ ยอมรับมันเองเมื่อพบว่ามันเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มากและตัวเขาเองก็ต้องการมัน

 

หวังว่าจะชอบกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 4: อีกแผนการหนึ่ง

Summary:

การประชุมในสภาแห่งแสงสนธยา

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

“ขอบคุณพวกคุณที่ทำงานหนักนะ”

 

เมื่อได้ยินคำดังกล่าวอามานิสกับลิลิธก็แสดงรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า

 

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว”อามานิสพยักหน้าให้ไคลน์อย่างช้า ๆ

 

ภายใต้สายตาของทุกคนในสภาแห่งแสงสนธยานี้ อามานิสก็เปิดเผยสิ่งที่นางได้รับจากสงครามเทพเจ้าออกมา

 

กลิ่นอายแห่งชีวิตและธรรมชาติแผ่ซ่านไปทั่ว บัลลังก์สีเขียวของลิลิธสั่นสะท้านตอบสนองต่อกลิ่นอายนั้นเช่นเดียวกันกับพระจันทร์สีชาดบิดเบี้ยวที่ปรากฏขึ้นเหนือโต๊ะประชุมของสภานี้

 

นี่คือทุกอย่างยกเว้นความเป็นเอกลักษณ์ที่แยกออกมาจากร่างของลิลิธเมื่อนางร่วงหล่นลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

 

ยกเว้นความเป็นเอกลักษณ์แห่งเส้นทางจันทราที่อามานิสเก็บเอาไว้กับตัวตามข้อตกลงเดิม ตะกอนพลังลำดับ 1 แห่งเส้นทางจันทรา จำนวน 2 ตะกอนและตะกอนพลังลำดับ 1 แห่งเส้นทางมารดา ที่ลิลิธเคยมี ตอนนี้มันปรากฏอยู่ที่นี่แล้ว

 

และอีกฝั่งหนึ่งบนโต๊ะสำริดทรงกลม หมอกสีขาวอมเทาก็ปรากฏขึ้นมาลอยล่องล้อมรอบสิ่งของสิ่งหนึ่งที่มีสัญลักษณ์ลึกลับและแปลกประหลาดเอาไว้ และใกล้กันนั้นก็มีม่านสีเทาพร่ามัวพร้อมกับหมอกวางอยู่เงียบ ๆ

 

นี่คือสิ่งที่อามานิสได้รับมาจากศพของเฟรเกลียเมื่อเฟรเกลียร่วงหล่นนอกจากตะกอนพลังลำดับ 1 ความมืดจำนวน 3 ตะกอนและความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางความมืดแล้ว

 

ยังเหลือตะกอนพลังลำดับ 1 บริวารเร้นลับจากเส้นทางเดอะฟูลและความเป็นเอกลักษณ์ของมันที่ดูเหมือนจะยังปรองดองกับเฟรเกลียยังไม่สมบูรณ์จึงมีสภาพที่ไม่คงที่ เป็นเพียงก้อนแสงสว่างและหมอกสีเทาเท่านั้น

 

“สิ่งที่เราจะต้องได้รับจากแผนนี้ อยู่ที่นี่แล้ว”อามานิสกล่าวด้วยน้ำเสียงขับกล่อมราวกับเพลงกล่อมเด็กและสร้างกลิ่นอายแห่งความเงียบสงบขึ้นอย่างผ่อนคลายภายในสภาแห่งแสงสนธยานี้

 

ใต้แสงสว่างเรืองรองของ 7 แสงบริสุทธิ์และอำนาจที่ถูกฉายมายังดินแดนแห่งนี้ หมอกสีเทาก็ดูเหมือนจะหนาแน่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

 

“ฉันจะเก็บมันเอาไว้ก่อน”ไคลน์กล่าวขึ้นแล้วเก็บตะกอนพลังลำดับ 1 บริวารเร้นลับและความเป็นเอกลักษณ์เข้าไปไว้ในปราสาทต้นกำเนิดเพื่อลดผลกระทบจากอำนาจและสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนรอยประทับจิตในตะกอนที่กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับสภาแห่งแสงสนธยานี้

 

“ฉันจะขอฝากพวกมันไว้กับคุณก่อนอามานิส... ตอนนี้ฉันยังไม่สามารถกลายเป็นลำดับ 1 ได้ ไม่ว่าจะเป็นจันทราหรือมารดา”ลิลิธกล่าวกับอามานิสอย่างสงบด้วยความจำเป็น

 

“ตกลง”อามานิสพยักหน้าให้กับลิลิธ นางกวาดมือของนางขนานไปกับโต๊ะสำริดทรงกลมแล้วตะกอนพลังลำดับ 1 จากเส้นทางมารดาและจันทรารวมถึงกลิ่นอายแห่งชีวิตและสัญญาณของการสืบพันธุ์ ความงาม และจันทราสีชาดก็เลือนหายไปในทันที

 

ไคลน์ปรับสีหน้าของเขาจากความสดใสกลายเป็นจริงจังขึ้นแล้วกล่าวว่า

 

“แผนการของเราประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยมและไร้ที่ติ แม้จะมีข้อผิดพลาดบางประการแต่ฉันกับกรีชาก็สามารถขจัดภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ไว้ได้ทัน และมันทำให้ฉันกับกรีชาค้นพบบางสิ่งเข้า”ดวงตาของไคลน์ลึกล้ำและเต็มไปด้วยความจริง

 

อามานิสและลิลิธเข้าสู่ความสงบในทันทีและตั้งใจรับฟัง

 

“ฟาบูติ ราชาปิศาจ เทพโบราณผู้บ้าคลั่งและชั่วร้ายองค์นั้นถูกทำให้เสื่อมทรามโดยเทพภายนอกจริง พระนามนั้นคือพฤกษามาตาแห่งแรงปรารถนา และอีกพระนามคือบิดาแห่งปิศาจ พระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิดและจุดสูงสุดของเส้นทางหุบเหวและผู้ถูกล่าม ดังนั้นฟาบูติ ราชาปิศาจจึงไม่อาจรอดพ้นการปนเปื้อน มลทิน และการเชื่อมโยงกับพระองค์ได้เลย”ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เช่นเดียวกันกับฉัน”ลิลิธพยักหน้าให้กับคำพูดของไคลน์ เพราะนางก็เป็นคนคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะและการเชื่อมโยงของเทพภายนอกมากที่สุดอีกคนหนึ่งในสถานที่นี้

 

“และเมื่อกรีชาได้ตัดขาดการเชื่อมต่อของเทพภายนอกกับบริเวณหุบเหวที่เกิดเรื่องขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ฟาบูติก็หลุดออกจากสภาวะสูญสิ้นสติได้ และสิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้ฉันกับกรีชารู้ได้ในทันทีเลยว่า...”ไคลน์กลั้นหายใจในความรอคอยของเทพีอีกสองคน

 

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่กระชับและก้องกังวาลว่า

 

“ฟาบูติ ราชาปิศาจ เป็นเศษซากจากห้วงอดีตกาลเช่นเดียวกันกับพวกเรา”คำพูดของเขาทำให้ลิลิธและอามานิสเสียการควบคุมการแสดงออก

 

ลิลิธแสดงสีหน้าตกใจในขณะที่ใบหน้าของอามานิสภายใต้ม่านอำพรางแห่งความลับนั้นไม่สามารถสอดแนมได้ก็น่าจะแสดงออกอย่างคล้ายคลึงกัน

 

“ก็เลยเป็นแบบนี้”ลิลิธกล่าวพึมพำแล้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และไม่ยากจะคิดถึงภาระและความยากลำบากที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ มันอาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเธอเพราะฟาบูติคนนั้นไม่มีโอกาสได้สื่อสารพูดคุย หรือมีสติปัญญาเลย เขาบ้าคลั่งตั้งแต่แรก นับแต่ยุคที่ 2 เริ่มต้นขึ้น ลิลิธก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

 

แก่นแท้และธรรมชาติของเส้นทางของฟาบูตินั้นเลวร้ายกว่าเส้นทางของลิลิธมาก ทว่าปัญญาและความยากลำบากที่พวกเขาได้รับจากเทพภายนอกนั้นกลับเหมือนกัน

 

“เช่นนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว?”อามานิสกล่าวถามขึ้นในความเงียบที่ดูหดหู่

 

ไคลน์แสดงรอยยิ้มอ่อนแล้วกล่าวตอบโดยไม่ปิดบังเลยว่า

 

“ตอนนี้ฉันกับกรีชาร่วมมือกันปิดผนึกเขาเอาไว้ในหุบเหว สถานที่ที่ถูกกัดเซาะและแทรกซึมจากพฤกษามาตาแห่งแรงปรารถนาเองและแก่นแท้ของเส้นทางอย่างโลกแห่งความมืดมิดด้วย”สีหน้าของไคลน์ก็แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนลงเล็ก ๆ น้อย ๆ

 

“แต่จิตสำนึกของเขาถูกฉันต่อกิ่งเอาไปใว้ในปราสาทต้นกำเนิดแล้ว ด้วยระดับในการดำรงอยู่เดียวกันปราสาทต้นกำเนิดสามารถต้านทานการกัดเซาะจากแก่นแท้เช่นกันได้ และมันสามารถระงับแก่นแท้และธรรมชาติของเส้นทางอื่น ๆ นอกจากเส้นทางที่สอดคล้องกับมัน ฉันจึงสามารถให้อิสระให้กับเขาได้และให้จิตสำนึกของเขาเชื่อมโยงกับภาชนะที่ไร้ตะกอนพลังเพื่อประโยชน์ต่อความเป็นมนุษย์และจิตใจของเขาเอง ตอนนี้เขากำลังเดินเล่นอยู่บนโลกความจริงอย่างลับ ๆ”

 

แน่นอนว่าขณะที่ไคลน์กำลังกล่าวถึงฟาบูติอยู่ตอนนี้ด้วยสีหน้าสุดอ่อนโยนและกังวล มันทำให้หัวใจของกรีชาคันยุบยิบอยู่เรื่อย

 

แววตาของกรีชาพลันเย็นเยือกลงและแม้ว่าจะทอประกายด้วยแสงสว่างอยู่ ความเป็นมนุษย์และอารมณ์บางอย่างก็พุ่งพล่านอยู่ในอกของเขาอย่างแรงกล้า

 

เขารู้ดีว่าไคลน์คิดกับฟาบูติเป็นเพียงสหายเท่านั้น ไม่ได้คิดเกินเลยไปมากกว่านี้ และแม้แต่กับตัวเขาเองไคลน์ก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ตามแต่..

 

กรีชาก็ไม่สามารถระงับความรู้สึกหงุดหงิดของเขาได้

 

และเขาก็ยินดีที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อไป เพื่อเตือนให้เขายังจำได้ว่าตัวเองมีความรู้สึกดี ๆ อย่างหนึ่งต่อใคร

 

มีความทรงจำและความห่วงใยต่อใคร

 

และมันยังเตือนเขาได้แม้ในยามที่สูญสิ้นซึ่งความรู้สึกใด ๆ

 

อารมณ์หงุดหงิดที่กรีชาเรียกว่าความหึงหวงนี้สามารถช่วยเขาให้รักษาความเป็นมนุษย์ และย้ำเตือนว่าเขาก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน มีทุกข์มีสุขและมีบางสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้ดังใจต้องการ

 

เช่นกับความรู้สึกของไคลน์ที่ตอนนี้กรีชาก็ไม่สามารถบังคับได้

 

มีเพียงแต่รอคอยและเฝ้าถนอมเท่านั้น

 

กรีชาถอนหายใจออกมาเมื่อตระหนักได้ เขาเหลือบไปมองไคลน์ด้วยแววตาเปล่งประกายชื่นชมและประทับใจ

 

ดวงตาสีทองสว่างสุกสกาวของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความห่วงใย

 

มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคุณยอมรับความรู้สึกของฉัน ไคลน์...

 

 

โดยที่ไคลน์ไม่ตระหนักหรือสังเกตเลย ลิลิธและอามานิสที่นั่งอยู่ตรงข้ามของพวกเขาที่อีกฟากของโต๊ะสำริดทรงกลมสามารถมองเห็นทุกปฏิกิริยาโต้ตอบที่กรีชามีได้อย่างชัดเจน

 

และพวกเขาก็ยินดีที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ

 

มันเป็นเรื่องของพวกเขาเองและพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปแทรกแทรงพัฒนาการของมัน

 

ลิลิธและอามานิสตกลงกันบางอย่างภายในใจ

 

เราจะเอาใจช่วยพวกเขา

 

หลังจากที่ทั้งสภาแห่งแสงสนธยาตกลงสู่ความเงียบแห่งความคิดและความอาลัยที่มีต่อฟาบูติ

 

น้ำเสียงทุ้มอบอุ่นของกรีชาก็ดังขึ้น

 

“ฉันได้เผยแผ่เส้นทางศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพทั้ง 22 เส้นทางออกไปแล้ว และอีกไม่นานทุกเผ่าพันธุ์ก็จะส่งทูตมาหาฉันเพื่อทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกันและเสาะหาความแข็งแกร่งจากความรู้ของฉัน”กรีชากล่าวบอกเล่าความเป็นไปในเขตนครรัฐที่เชื่อในตัวของเขาด้วยน้ำเสียงสงบ

 

“แน่นอนว่าการร่วงหล่นของเทพโบราณถึง 2 องค์ภายในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นจะสร้างความโกลาหลให้กับโลกใบนี้มหาศาลอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในขั้วอำนาจของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ขึ้นแน่นอนและมันจะส่งผลดีบางอย่างต่อแผนการในอนาคตของเรา”คำกล่าวของกรีชาเป็นดังบัญญัติที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้ และถึงแม้มันจะเป็นเพียงการบอกเล่าแต่ทั้งลิลิธ อามานิสและไคลน์ก็รับรู้ได้เลยในทันทีว่านี่เป็นคำพยากรณ์อย่างหนึ่ง และมันจะเกิดขึ้นจริงบนโลกอย่างแน่นอน

 

เมื่อกรีชาเงียบลงและไม่ได้ริเริ่มที่จะกล่าวสิ่งใดต่อจึงเป็นตาของคนต่อไปที่จะกล่าวเล่าเรื่องบางเรื่องขึ้น

 

“ซาลิงเกอร์เทพแห่งมรณะแปรพักตร์ไปหาบรรพบุรุษฟินิกซ์เกรเกรซ โคทาร์เทพแห่งความปรารถนา อันตีโกนัสบุตรแห่งเฟรเกลีย และไนซัสมารดาแห่งผืนนภาหลบหนีไป”ประโยคแรกที่เกี่ยวกับซาลิงเกอร์อามานิสกล่าวให้กับทุกคนเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ประโยคหลัง ๆ นางจงใจกล่าวบอกไคลน์โดยเฉพาะ

 

แน่นอนว่าทั้งโคทาร์และอันตีโกนัสต่างเป็นเทวทูตลำดับ 2 ผู้เรียกปาฏิหาริย์แห่งเส้นทางเดอะฟูล และหากไคลน์จะกลายเป็นผู้ครองเส้นทางเดอะฟูลคนใหม่ เขาก็ต้องรู้จักหมาป่าปิศาจสองตนนี้เอาไว้เผื่อในอนาคตจะออกตามล่า

 

ไคลน์เข้าใจได้ชัดถึงเจตนารมณ์ของอามานิส เขาพยักหน้าให้นางอย่างง่าย ๆ และในใจก็คิดแผนการบางอย่าง

 

ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของอันตีโกนัส โคทาร์และไนซัสมากนัก แต่ชะตากรรมของพวกเขาแม้จะไม่มีฉันเข้าไปแทรกแทรงนั้นล้วนมีจุดจบที่ไม่สวยงามนัก ภาพของพวกเขาเหล่านั้นทั้งสามปรากฏขึ้นภายในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ

 

อันตีโกนัสบ้าคลั่งในที่สุดเพราะไม่สามารถต้านทานรอยประทับจิตของลอร์ดแห่งความลึกลับภายในกายของเขาได้ ไนซัสถูกเทพธิดารัตติกาลอามานิสในไทม์ไลน์ก่อนเปลี่ยนให้เป็นภาชนะศักดิ์สิทธิ์สำหรับการสืบเชื้อสายลงมายังโลกของนางเอง และโคทาร์ก็ได้แต่หนีและดิ้นรนเอาชีวิตภายในแดนที่ถูกทวยเทพทอดทิ้ง

 

บางทีฉันอาจจะสามารถจ้างงานของพวกเขาได้บ้าง และสามารถส่งผลต่ออนาคตบางอย่างที่ควรจะเกิดขึ้นได้ผ่านพวกเขา ไคลน์ตัดสินใจบางอย่างและเงยหน้าขึ้นฟังอามานิสต่อไป

 

อามานิสสูดลมหายใจเข้าอย่างหนักหน่วง ร่องรอยความกังวลและออร่าแห่งความหวาดกลัวและความสยองขวัญของนางก็พลันปรากฏออกมา

 

“หมาป่าปิศาจทั้งเผ่าพันธุ์ตายแล้ว”น้ำเสียงของนางแม้จะเงียบสงบแต่ไคลน์ก็สัมผัสได้ถึงความสั่นเครือในนั้นได้อย่างทันท่วงที

 

“ตายหมด?”ลิลิธโพล่งออกมาเสียงดังอย่างไม่เชื่อ ขณะที่กรีชาแสดงออกถึงความเฉยเมยเป็นส่วนใหญ่เพราะอย่างไรเสียหากจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ปลอดภัยเผ่าพันธุ์หมาป่าปิศาจรวมทั้งเผ่าพันธุ์วิเศษอื่น ๆ ทั้งหมดก็สมควรที่จะถูกกำจัด หรือไม่ก็หากสามารถเจรจาได้ก็อาจจะเป็นการเนรเทศไม่ก็ขับไล่ออกไปจากถิ่นฐานของมนุษย์เพื่อป้องกันสงครามที่จะเกิดขึ้นจากความแตกแยกและเหยียดหยามกันเองในอนาคต

 

ภายใต้ความงุนงงและไม่เชื่อของลิลิธ สีหน้าของไคลน์ยังสงบอยู่

 

แน่นอนว่าเขาล่วงรู้ถึงประวัติศาสตร์ส่วนนี้เป็นอย่างดีในฐานะอดีตผู้ติดตามของเทพธิดารัตติกาล และเขาพอจะทราบเหตุการณ์บางอย่างในยุคนี้ดีจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในโถงพระราชสำนักยักษ์และเรื่องเล่าต่าง ๆ จากเดอะซัน เดอริคแห่งสมาคมไพ่ทาโรต์ด้วย

 

อามานิสผ่อนลมหายใจแล้วพยักหน้าให้กับลิลิธ นางเริ่มอธิบายเพิ่มเติมว่า

 

“เฟรเกลียอ่อนแรงมากแล้วจากการระเบิดของคุณ มันมากพอที่จะทำให้เฟรเกลียแทบตายได้เลย และในตอนนั้นเขาก็บ้าคลั่งโดยสมบูรณ์แล้ว สติของเขากลับมาไม่ทันเวลาพอ เขาเริ่มไล่กินเผ่าพันธุ์เดียวกันของเขาเพื่อรับพลังอำนาจจากศพของพวกมัน”อามานิสเล่าขณะที่นางหวนนึกกลับไปในช่วงเวลานั้น

 

“เขาฟื้นคืนพละกำลังของเขากลับมาได้จนเกือบเหมือนไม่เคยได้รับบาดเจ็บและเมื่อเขาเริ่มที่จะโจมตีเทพในเครือตนอื่น ๆ ของเขา โชคดีที่เขาเสียสมาธิไปกับความบ้าคลั่งอยู่แล้ว เขาเลือกที่จะกินอันตีโกนัสเป็นคนต่อไปและมันทำให้ฉันมีโอกาส”ดวงตาของอามานิสเปล่งประกายวับวาวขณะที่นางหันไปมองกรีชาด้วยสายตาสงสัย

 

“นั่นคงเป็นงฝีมือของคุณ”นางไม่คิดว่าตัวนางเองเพียงคนเดียวจะสามารถล่มเทพโบราณที่มีพลังเกือบสมบูรณ์ได้หรอกและแม้อีกฝ่ายจะบ้าคลั่งและเสียสติไปแล้วก็ตามที

 

“แน่นอน เขาร่วงหล่นได้อย่างสง่างามภายใต้เคียวมรณะของคุณเสริมด้วยพรแห่งชีวิตของลิลิธที่จะพรากชีวิตไปจากเขาอย่างมหาศาล”กรีชาพยักหน้ารับคำกล่าวของอามานิสอย่างไม่รีบร้อน และยังกล่าวเสริมบางอย่างด้วย

 

“ขอบคุณ และเมื่อฉันฟันเฟรเกลียได้ในครั้งที่ 2 เขาก็ตายแล้ว ตะกอนพลังของเขารวมถึงความเป็นเอกลักษณ์ก็ปรากฏออกมา ฉันจึงทำภารกิจและแผนการนี้ให้ลุล่วงได้รวมถึงพิธีกรรมในการก้าวไปสู่ลำดับ 1 อีกด้วย”

 

น้ำเสียงของอามานิสดังก้องอยู่ในสภาแห่งสนธยาอยู่ชั่วขณะหนึ่งภายใต้ความเงียบงันของทุกคน

 

ลิลิธแสดงออกถึงความสะใจและยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดี กรีชาแสดงรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดิมแต่รังสีรอบ ๆ ตัวของเขานั้นกลับสว่างและสดใสอย่างผู้ชนะ ไคลน์ยังคงเงียบสงบเช่นเดิมท่ามกลางม่านหมอกเขายังเป็นคนที่นิ่งที่สุดอีกด้วย

 

ความสำเร็จของอามานิสนั้นกล่าวได้ว่ามันทำให้สมาชิกทุกคนในสภาแห่งแสงสนธยาพึงพอใจเป็นอย่างมาก และพิธีกรรมในการก้าวไปสู่ลำดับ 1 ของอามานิสนั้นก็ไม่ใช่ความลับสำหรับคนที่ได้อ่านแผ่นศิลาเย้ยเทพทุกคนแล้วที่นี่

 

พิธีกรรมนั้นคือ การนำโชคร้ายและภัยพิบัติมาสู่ทวยเทพและสิ่งรอบข้างจนในที่สุดทวยเทพตนนั้นก็ร่วงหล่นลง

 

อามานิสเป็นหนึ่งในผู้กระทำแผนการดังกล่าวในการสังเฟรเกลีย นางได้ชักนำความตายของเขาเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของลิลิธ เฟรเกลียก็บ้าคลั่งไปแล้วและเขาก็พยายามที่จะกลืนกินหมาป่าปิศาจตนอื่น ๆ ซึ่งนางก็สามารถเรียกได้ว่าผู้นำความโชคร้ายครั้งใหญ่มาสู่เผ่าพันธุ์หนึ่งได้ และมันยังทำให้ทั้งเผ่าพันธุ์นั้นสูญพันธุ์ไปจนหมดและทวยเทพตนนั้นอย่างเฟรเกลียที่ประสบความโชคร้ายก็ได้ร่วงหล่นลงอย่างที่พิธีกรรมต้องการ

 

อามานิสจึงได้รับผลพลอยได้ในส่วนนี้ไปด้วย

 

“เอาล่ะ แผนการนี้ของเราสำเร็จลุล่วงแล้ว เราก็ต้องเริ่มแผนต่อไปใช่ไหม?”ในความเงียบงันไคลน์ก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

 

“ฉันต้องทำอะไรบ้าง?”ลิลิธกล่าวขึ้นต่อจากไคลน์ในทันทีอย่างสงสัย

 

นางอยากรู้จริง ๆ ว่าจะใช้วิธีการใดที่จะทำให้นางเข้าไปแทนที่โอเมเบลล่าได้โดยที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถล่วงรู้ได้

 

ไคลน์แสดงรอยยิ้มเมื่อเห็นความกระตือรือล้นของลิลิธ

 

เขาประสานมือเข้าหากันบนโต๊ะสำริดทรงกลมขณะที่จ้องมองไปยังทุกคนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

 

“มันควรจะเริ่มจากการสังหารโอเมเบลล่าและเออร์มีร์..”

Notes:

พิธีกรรมลำดับ 1 ดังกล่าวของอามานิสนั้นผมเป็นคนสร้างมันขึ้นมานะครับ ไม่เกี่ยวข้องกับต้นฉบับ

 

**** ในปัจจุบันพิธีกรรมลำดับ 1 ได้เปิดเผยออกมาแล้วและได้แก้ไขเนื้อหาแล้วในบทล่าสุด ณ ปัจจุบัน (ถึงแม้พิธีกรรมที่คิดไว้จะมีความใกล้เคียงอยู่ก็เถอะ)

 

หวังว่าจะชอบกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 5: คำเชิญชวน

Summary:

การประชุมในสภาแห่งแสงสนธยา

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

“มันควรจะเริ่มจากการสังหารโอเมเบลล่าและเออร์มีร์..”

 

“การที่จะแย่งชิงตัวตนของโอเมเบลล่าได้โดยที่ไม่ถูกจับได้และไม่ถูกเปิดเผยถึงแผนการทั้งหมดของเราจนกว่าจะบรรลุความสำเร็จ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เออร์มีร์จะต้องร่วงหล่น”คำพูดของไคลน์แผ่วเบาประดังขนนกทว่าเนื้อหานั้นราวกับเป็นลิขิตแห่งชีวิตที่ไม่อาจหลีกหนีได้

 

อามานิสยังคงอยู่ในความสงบขณะที่ลิลิธเริ่มปรากฏความสงสัย

 

“แล้วทำไม.. คุณถึงไม่สังหารเออร์มีร์เพื่อแย่งชิงความเป็นเอกลักษณ์ไปตรง ๆ เลยล่ะ ทำไมต้องใช้วิธีที่อ้อมค้อมกว่าอย่างการแย่งชิงตัวตนและแทนที่โอเมเบลล่าเพื่อหาโอกาสแย่งชิงความเป็นเอกลักษณ์นั้นแทน?”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยและอารมณ์ของมนุษย์ที่เพิ่มพูนกว่าแต่ก่อนนั้นดังกังวาลอยู่ในโถงประชุมอยู่ชั่วครู่หนึ่ง

 

ภายใต้รอยยิ้มของไคลน์ ตัวเขานั้นได้คิดถึงสาเหตุของเรื่องนี้มานานแล้ว ในความคิดของเขามันล้วนเชื่อมโยงกันทุกอย่าง การที่จะสังหารเชดัสได้คือต้องล่อเขาออกมา และตัวล่อนั้นคือโอเมเบลล่า เช่นกันกับเออร์มีร์ที่จะยกบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพของเขาให้กับเทพแห่งรุ่งอรุณบาดเฮลในอนาคต ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้แผนการของเทพสุริยันบรรพกาลกรีชาในไทม์ไลน์ก่อนทั้งสิ้น

 

ในความคิดของเขาแล้วหากอามานิสในยุคที่ 2 ที่ยังคงไร้ความเป็นมนุษย์มากเกินไปและจุดยึดยังไม่มากพอคงไม่สามารถต้านทานแรงปรารถนาที่จะบรรจบกันกับความเป็นเอกลักษณ์ที่ได้มาได้

 

อีกอย่างกรีชาสามารถสังหารเทพโบราณอย่างบรรพบุรุษฟินิกซ์เกรเกรซได้ ความเป็นเอกลักษณ์และเส้นทางนั้นก็คงจะตกไปอยู่ในมือของอามานิสอย่างเลี่ยงไม่ได้ในฐานะพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนั้นเพื่อต่อกรกับเทพภายนอกทั้งหลาย

 

แต่กระนั้นในไทม์ไลน์ก่อนเขาก็ยังไม่ทำ เหตุผลนั้นเพราะอามานิสไม่มั่นคงมากพอที่จะรองรับทุกอย่างอย่างสมบูรณ์ในยุคที่ 2และ3 ขณะที่เจตจำนงและรอยประทับจิตบรรพกาลยังคงแข็งแกร่งอยู่ และจากการวิจัยของกรีชาเองวิธีที่ดีที่สุดในการกลายเป็นเหนือลำดับนั้น อามานิสจะต้องเป็นเทพเส้นทางเดียวปรองดองกับเอกลักษณ์ก่อนแล้วจึงปรองดองกับแก่นแท้ก่อนที่จะครอบครองเส้นทางใกล้เคียงอื่น ๆ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่การครอบครองเส้นทางใกล้เคียงและปรองดองกับเอกลักษณ์ทั้งหมดก่อนที่จะปรองดองกับแก่นแท้เป็นอย่างสุดท้ายนั้นมันเป็นวิธีที่เลวร้ายที่สุด อามานิสจึงรับรู้และยอมจำนนในแผนการของกรีชา

 

กระทั่งกรีชาร่วงหล่นไปอามานิสก็ยังไม่ได้รับความเป็นเอกลักษณ์และเส้นทางใกล้เคียงอื่นใดเลย และนางก็ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีเทพเจ้าปรากฏขึ้นบนโลกในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ มันจะส่งผลดีต่อโลกมากกว่าเพราะยิ่งเข้าใกล้วันโลกาวินาศมากเท่าใด บาเรียที่กั้นขวางเทพภายนอกกับโลกอยู่ก็ยิ่งอ่อนแอลงมากเท่านั้น และมีเพียงการดำรงอยู่ของเทพที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยบาเรียนั้นและอุดรอยรั่วของมันได้

 

จนในที่สุดเมื่อวันโลกาวินาศเข้าใกล้มาไม่ถึง 20 ปี นางจึงเริ่มลงมือเช่นเดียวกันกับอดัมที่กลายเป็นเทพ สงครามเทพเจ้าเริ่มต้นขึ้นนางและลิลิธก็สำเร็จแผนการที่วางไว้มายาวนานหลายพันปีและนางก็ได้รับความเป็นเอกลักษณ์และเส้นทางยักษ์สนธยามาในที่สุด รวมถึงความเป็นเอกลักษณ์และเส้นทางมรณาอีกด้วย กระนั้นนางก็ยังไม่ได้รีบร้อนที่จะปรับตัวเข้ากับเส้นทางใกล้เคียงทั้งหมด นางเพียงแค่ถือพวกมันเอาไว้แล้วรอคอยแก่นแท้เพื่อปรองดองกับมันเพื่อบรรลุความเสถียรสูงสุดที่จะเข้าถึงได้และปลอดภัยยิ่งกว่า

 

ดังนั้นแล้วในไทม์ไลน์นี้ไคลน์ก็มุ่งเป้าหลาย ๆ สิ่งเอาไว้เช่นเดียวกันกับแผนของกรีชาในไทม์ไลน์ก่อน

 

เขาหวังว่าแผนการของอามานิสที่จะรับความเป็นเอกลักษณ์และเส้นทางใกล้เคียงอื่น ๆ ทั้งหมดนั้นจะเหมือนกันกับไทม์ไลน์ก่อน นอกจากจะเพื่อตัวนางเองแล้วก็เพื่ออนาคตด้วย อนาคตที่ไคลน์หวังว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ส่งผลต่อการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิต เขาแค่หวังว่าจะได้พบกับคนรู้จักของเขาในอนาคตอีกครั้ง

 

“มีอะไรที่เป็นความลับหรือไม่? ฉันถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไปหรือ?”จนในที่สุดลิลิธที่เห็นทุกคนเงียบไปก็ได้กล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าที่สงบลง ทว่านัยน์ตาสีเขียวอ่อนของนางนั้นกลับเปล่งประกายแรงกล้าอย่างสงสัยใคร่รู้

 

ไคลน์หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง เขากลืนน้ำลายแล้วเคาะลงไปบนโต๊ะสำริดทรงกลมอย่างลืมตัวขณะที่แสดงรอยยิ้มเขินอายออกมาเล็กน้อย

 

“ไอ... มันไม่มีอะไรไม่สมควรหรอก ฉันแค่ติดอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองน่ะ”ไคลน์กล่าวด้วยรอยยิ้มและแก้มที่แดงขึ้นเล็กน้อยขณะที่หันมองไปยังลิลิธ

 

เขาไม่รู้เลยว่าปฏิกิริยาของตัวเองตอนนี้น่ารักขนาดไหน มันทำให้กรีชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ข้าง ๆ ถึงกับต้องปรับท่านั่งและกลืนน้ำลายใหญ่เลยหลายอึก

 

เช่นเดียวกันกับอามานิสผู้เงียบสงบ ใต้ม่านอำพรางแห่งความลับดวงตาของนางเปล่งประกาย ราวกับว่านางมองเห็นแมวดำที่ตกอกตกใจใหญ่โตลาง ๆ แทนที่จะเห็นไคลน์ในรูปมนุษย์ปกติ

 

“โอเค”ลิลิธแสดงรอยยิ้มอ่อนออกมาแล้วพยักหน้า

 

“ถ้ายังนั้นแล้ว ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นล่ะ?”ลิลิธกล่าวถามซ้ำขณะที่เอนหลังพิงไปบนบัลลังก์สีเขียวที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณและรอคอยไคลน์กล่าวอธิบาย

 

ไคลน์เก็บอาการของเขาอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มอธิบายภายใต้ความสงสัยของลิลิธ และความอยากรู้ที่เก็บซ่อนเอาไว้ของอามานิสเองด้วย

 

ส่วนกรีชานั้น... เหมือนเขาจะเดาออกอยู่แล้วส่วนหนึ่ง

 

“นั่นเพราะ.. ในช่วงเวลานี้อามานิสคงจะไม่สามารถระงับแรงปรารถนาที่จะบรรจบกันของเส้นทางใกล้เคียงได้แน่ ๆ ถ้านางกลายเป็นเทพเจ้าแล้ว รอยประทับจิตและเจตจำนงยังคงแข็งแกร่งเกินไปในช่วงเวลานี้ เราควรจะรอมันและนำมันกลับมาในอนาคต”ไคลน์กล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงสงบ

 

“อีกเหตุผลเพราะการที่เราจะกลายเป็นเหนือลำดับได้ตามจุดประสงค์สูงสุดในการก่อตั้งสภาแห่งแสงสนธยาของเราและต่อกรกับเทพภายนอกทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการนี้ และถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะแต่สัญชาตญาณของฉันร้องเตือนตลอดเวลาเลยในแผนการครั้งนี้”แน่นอนว่าไคลน์จะไม่ขัดขวางหรือลัดเลาะหนทางแห่งความสำเร็จในงานวิจัยของกรีชาในครั้งนี้

 

เขาแค่กล่าวอย่างลอย ๆ ส่วนกรีชาก็คิดได้หรือไม่นั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

เมื่อกล่าวเล่ามาถึงจุดนี้กรีชาก็ปรากฏแววความคิดบางอย่าง

 

“นั่นก็ตรงกับงานวิจัยชิ้นใหม่ของฉันพอดี”เสียงทุ้มต่ำแต่อ่อนโยนและสงบราวกับพระอาทิตย์ขึ้นหันความสนใจของทุกคนไปยังผู้พูด

 

ใต้สายตาที่จับจ้องมาอย่างเงียบ ๆ กรีชาก็เริ่มเล่ารายละเอียดออกไปโดยไม่ปิดบัง

 

“งานวิจัยชิ้นนี้ของฉันนั้นเกี่ยวข้องกับความบ้าคลั่งของเทพโบราณที่เกี่ยวข้องกับเส้นทาง ผลของงานวิจัยคือเส้นทางที่สับเปลี่ยนไปมาได้ที่พวกเรารู้ว่ามันคือเส้นทางใกล้เคียงนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อรอยประทับจิตและความมั่นคงของแต่ละบุคคลได้ การที่ปรองดองกับเอกลักษณ์และตะกอนพลังมากกว่า 1 เส้นทางนั้นจะสร้างภาระหนักให้กับร่างกายและเจตจำนงของบุคคลที่ทำมันและจะถูกปราบปรามอย่างหนักจากเจตจำนงดั้งและรอยประทับจิตดั้งเดิมที่สุดที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ดังนั้นนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำไมว่าการกลายเป็นเหนือลำดับโดยผ่านวิธีการเหล่านี้จะยาก”กรีชาชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องในตัวของเทพโบราณ

 

“ดังนั้นแล้ววิธีการที่ดีที่สุดในการกลายเป็นเหนือลำดับนั้น นอกจากจะต้องปรองดองกับเอกลักษณ์ แก่นแท้ และยึดครองเส้นทางใกล้เคียงกันทั้งหมดแล้ว มันยังขึ้นอยู่กับลำดับในการกระทำแต่ล่ะอย่างด้วย เราควรลดผลกระทบจากเจตจำนงและรอยประทับจิตดั้งเดิมให้ได้มากที่สุด และการที่จะทำแบบนั้นได้นั่นหมายความว่าจะต้องไม่ปรองดองกับความเป็นเอกลักษณ์อื่น ๆ ก่อนปรองดองกับแก่นแท้ และเมื่อปรองดองกับแก่นแท้แล้วก็ค่อย ๆ ปรองดองกับความเป็นเอกลักษณ์อื่น ๆ ช้า ๆ ขณะที่ปรับตัวให้เข้ากับพวกมันทีละอย่างและเฝ้าดูความเสถียรของความเป็นมนุษย์และจุดยึดอยู่ตลอดเวลานี่จึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด”

 

น้ำเสียงของกรีชาดังกังวาลไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้และสะท้อนไปทั่วยาวนานภายใต้ความเงียบงันและความคิดของสมาชิกทั้งหมด

 

“กล่าวได้ว่าจะต้องกลายเป็นเทพหนึ่งเส้นทางก่อน ปรองดองกับแก่นแท้แล้วค่อยรวบรวมของเส้นทางใกล้เคียงทั้งหมด”อามานิสคิดวิเคราะห์คำพูดของกรีชาอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็สามารถสรุปใจความสำคัญได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

 

“ฉันเข้าใจแล้ว”และในขณะเดียวกันลิลิธก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงยังไม่แย่งชิงความเป็นเอกลักษณ์ยักษ์สนธยามาจากเออร์มีร์ในตอนนี้

 

“แล้วเมื่อไหร่... เออร์มีร์ถึงจะร่วงหล่นล่ะ?”คำถามต่อมาของลิลิธสร้างความเงียบงันขึ้นอีกครั้ง

 

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน.. ไคลน์คิดในใจด้วยสีหน้าสงบใต้ม่านหมอกสีเทา ทว่าลางสังหรณ์และสัญชาตญาณทางจิตวิญญาณบอกเขาว่าอีกไม่นานเกินรอ

 

เขาหันสายตาไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงสงบและเยือกเย็นอยู่เสมอราวกับท้องฟ้าที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนและภูผาที่มั่นคง

 

กรีชาที่เห็นว่าทุกคนมองมายังตัวเองอีกครั้งก็แสดงรอยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

ดวงตาสีทองของเขาส่องสว่างขึ้นอย่างเงียบ ๆ ขณะที่บรรยากาศรอบ ๆ เงียบสงัดลงและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์

 

จากนั้นเสียงก้องกังวานราวกับตัวตนอันยิ่งใหญ่ก็ปรากฏออกมาภายใต้คำพูดของกรีชาราวกับพระวัจนะอันศักดิ์สิทธิ์

“ทรราชจะถูกโค่นล้มด้วยความจำนนต่อแสงสนธยาแห่งการเปิดเผย ผู้มีวิสัยทัศน์ที่พยายามแทรกแทรงจะพบหายนะเลวร้าย สนธยาคล้อยต่ำลงและรุ่งอรุณจะมาเยือนมรณา ในสุดท้ายสุริยันจะสิ้นแสงสว่างความมืดมิดจักกลืนกินทุกสิ่ง”

 

นี่เป็นพัฒนาการที่สมเหตุสมผลและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน ไคลน์สามารถยืนยันถ้อยคำดังกล่าวนี้ของกรีชาได้อย่างชัดเจนว่านี่คือคำพยากรณ์ที่แม่นยำที่สุด เพราะภายใต้ลิขิตของกรีชาและแผนการของสภาแห่งแสงสนธยาเองแล้ว ยุคสมัยนี้จะเป็นไปตามความต้องการของพวกเขาแน่นอน

 

เมื่อคำพยากรณ์สิ้นสุดลง แสงสว่างสาดส่องราวกับดวงอาทิตย์เจิดจรัสก็ค่อย ๆ หรี่ลง ดวงตาของกรีชากลับมาสุกสกาวอย่างปกติขณะที่เขากวาดสายตามองไปยังทุก ๆ คนอย่างช้า ๆ

 

ลิลิธและอามานิสตกอยู่ในห้วงความคิดและการวิเคราะห์อย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะจากคำพยากรณ์ดังกล่าวเหตุในอนาคตทุกอย่างก็ราวกับว่ามันได้ถูกลิขิตเอาไว้จนหมดสิ้นแล้ว

 

สายตาสุกสกาวของกรีชาด้วยแสงสีทองไล่มองไปทีละคนจะไปสะดุดอยู่กับสีหน้าและแววตาของไคลน์ที่อยู่ท่ามหมอกสีเทาอ่อน ๆ

 

ใบหน้านุ่มนวลของอีกฝ่ายและดวงตาสีดำล้ำลึกนั้นกลับไม่ปรากฏถึงความตกใจหรือวิเคราะห์แม้แต่น้อย

 

ราวกับว่าเขาล่วงรู้ทุกสิ่งอยู่แล้วตั้งแต่แรก

 

ริมฝีปากของกรีชายกขึ้นอย่างลับ ๆ และหัวใจลวง ๆ ของเขาที่ไม่ควรมีในสัตว์ในตำนานนั้นก็คล้ายจะสั่นระรัว

 

คุณช่างน่าทึ่งเสียจริงไคลน์... ราวกับว่าคุณล่วงรู้ทุกอย่างอยู่แล้วแต่ในบางครั้งก็ราวกับว่าคุณไม่รู้อะไรเลย ความลับนี้อาจเป็นต้นเหตุของความคุ้นเคยที่ปรากฏในสายตาของคุณหรือไม่? ต้นเหตุของความพิเศษไม่เหมือนใครของคุณ เสียงภายในใจของกรีชาก้องดังอย่างเงียบงันและไร้ซึ่งคำตอบ

 

คุณพิเศษกว่าใครมากนักไคลน์... และก็ดูธรรมดามากที่สุดด้วย ความรู้สึกของกรีชาก็เริ่มเพิ่นพูนขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็รู้สึกถึงความเสถียรภาพในอารมณ์เป็นอย่างมากเมื่อเข้าถึงจุด ๆ หนึ่งที่สามารถเข้าถึงได้และไม่อาจเลยผ่านมันไปได้มากกว่านี้

 

ฉันปรารถนาเพียงให้คุณยอมรับฉันเท่านั้น ดวงตาของกรีชาเลื่อมประกายแสงสีทองระยิบระยับอย่างงดงาม เมื่อไคลน์รู้ตัวว่าตัวเองถูกจ้องโดยสายตาล้ำลึกของกรีชาหมอกสีเทาก็ปรากฏขึ้นรอบตัวของเขาทันทีอย่างหนาแน่นจนเห็นร่างของเขาเป็นเพียงเงาในหมอกนั้น

 

กรีชาแสดงรอยยิ้มและขบขันออกมาเล็กน้อยขณะที่ลิลิธและอามานิสพยายามจะไม่สนใจพวกเขา

 

เมื่อเห็นลิลิธและอามานิสหลุดออกมาจากภวังค์การคิดวิเคราะห์ของพวกเขาเองแล้ว กรีชาก็กล่าวขึ้นต่อว่า

 

“พวกคุณไม่ต้องกังวลมากไป มันเป็นเพียงคำพยากรณ์เท่านั้นและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยหากทุกคนไม่ลงมือทำมันให้สำเร็จ”คำพูดของกรีชายังคงก้องกังวานอยู่ในสถานที่แห่งนี้โดยที่ไม่มีใครแทรกแทรง

 

“หลังสงครามเทพเจ้าจบลงแล้ว เทพในเครือของควาสตีร์และเฟรเกลียย่อมต้องสร้างความวุ่นวายหรือไม่ก็หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ และมันก็เป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะตามล่าหาสมบัติเหล่านั้นรวมทั้งพิทักษ์ความสงบสุขไปด้วย”รอยยิ้มอบอุ่นของกรีชาในความรู้สึกของลิลิธและอามานิสก็ราวกับเย็นเยือก

 

แน่นอนว่าเทพในเครือของควาสตีร์ย่อมไม่มีใครเป็นปกติอยู่แล้วภายใต้อิทธพิลของพฤกษามาตาแห่งแรงปรารถนา และธรรมชาติของเส้นทางที่หากไม่ยอมควบคุมตัวเองไปแล้วนั้นก็ย่อมจะสูญสิ้นความเป็นมนุษย์และสติอันดีไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นแค่สัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งและโหดร้ายเท่านั้น

 

ไคลน์ที่นั่งฟังอยู่ในกลุ่มหมอกหนาก็พยักหน้าให้กับคำพูดนั้นด้วย

 

“แล้วคุณเทพแห่งความเร้นลับ‘ที่รัก’ คุณจะไปตามล่าหาสมบัติกับฉันไหม?”ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหน แต่คำพูดเชิญชวนของกรีชาที่ดังเข้ามาในม่านหมอกนั้นทำให้ร่างของไคลน์สั่นสะท้านไปชั่วขณะอย่างขนลุกขนพองทั้งที่หัวใจเต้นระรัวในอก

 

ภายนอกม่านหมอกสีเทา กรีชาที่แสดงรอยยิ้มอยู่ก็ค่อย ๆ กลายเป็นความเศร้าเล็กน้อย ภายใต้รอยยิ้มขบขันของลิลิธและรอยยิ้มที่มุมปากของอามานิส

 

เมื่อเสียงข้างนอกเงียบลง ไคลน์เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างครุ่นคิดและพิจารณา

 

กรีชาที่เห็นไคลน์เงียบไปนานก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้

 

ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรและเปล่งแสงเรืองรองราวกับดวงอาทิตย์สดใสสว่างแจ้งนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ไม่รู้ว่าคลังสมบัติของควาสตีร์ในอาณาจักรเทพที่ล่มสลายของเขานั้นจะมีอะไรบ้างน้า?-”

 

คลังสมบัติ? สมบัติของเทพ? ดวงตาของไคลน์กระพริบปริบ ๆ อย่างชะงักงัน

 

ริมฝีปากที่ขดเม้มเข้าหากันของเขาก็พลันคลายออก

 

ไคลน์ถอนหายใจออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วสลายม่านหมอกหนาที่บดบังการมองเห็นจากภายนอกออก

 

“ฉันตกลง.. ท่านเทพสุริยันผู้ยิ่งใหญ่”ไคลน์แสดงรอยยิ้มขอบคุณด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา ขณะที่สรรเสริญกรีชาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยน้ำเสียงคลั่งไคล้และทำสัญลักษณ์เชิดชูที่ผู้เชื่อของกรีชาเขาทำกันบนหน้าอก แน่นอนว่ามันเป็นสัญลักษณ์เดียวกันกับที่ชาวคริสต์ในยุคก่อน ๆ เขาทำกัน

 

เมื่อไคลน์เริ่มเอาปลายนิ้วแตะที่หน้าผากและไหล่ทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ และเคร่งครัดราวกับผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนา รอยยิ้มของกรีชาก็เริ่มบิดเบี้ยวด้วยดวงตาของเขาที่ปิดสนิทและกลายเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา

 

นี่คือการแก้แค้นของไคลน์!

 

แน่นอนว่าตอนนี้กรีชามีความเป็นมนุษย์มากพอที่จะรู้สึกได้ถึงความเขินอายบางประเภท โดยเฉพาะตอนนี้ที่ไคลน์กำลังทำอะไรบางอย่างซึ่งถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นขั้นสูงสุดต่อหน้าทวยเทพองค์ดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีการลงทัณฑ์ใด ๆ เกิดขึ้น

 

“อุ๊ปส์- ฮ่าฮ่าฮ่า”ลิลิธหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อทุกคนหันไปมองนางอย่างว่องไวนางก็ไม่สามารถระงับความขบขันของตัวเองได้อีก

 

นางกุมมือไว้ที่ท้องแล้วเริ่มปลดปล่อยเสียงหัวเราะที่กังวานและสดใสออกมา ทำให้บรรยากาศอึมครึมและแน่นหนักภายในโถงประชุมสภาแห่งแสงสนธยาแห่งนี้ผ่อนคลายลง

 

กรีชาเก็บสีหน้าของเขาแล้วแสดงรอยยิ้มอ่อนออกมาในขณะที่ไคลน์ก็ได้แต่ถอนหายใจขณะที่เก็บความสามารถของตัวตลกที่ตัวเองใช้ออกไป

 

“ความเป็นมนุษย์ของพวกคุณดูเหมือนจะดูดีนะ”อามานิสกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างชัดเจนขณะที่มองไปยังไคลน์และกรีชา

 

ภายใต้ดวงตาและใบหน้าเกือบทั้งหมดของนางที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้ม่านแห่งความลับที่ไคลน์อ่านไม่ออกและมองไม่เห็น เขาก็สามารถรู้ได้ในทันทีเลยว่านางกำลังคิดอะไรบางอย่างที่มีตัวเขาและกรีชาร่วมอยู่ในนั้นด้วยแน่นอน

 

“เอาล่ะ ๆ ขอให้การประชุมของเราจบลงเพียงเท่านี้ ไว้พบพานกันใหม่นะสหาย”กรีชาที่เห็นอารมณ์มากมายของไคลน์ภายในวันนี้วันเดียวแล้วแสดงรอยยิ้มออกมาอย่างแท้จริงและไม่ปิดบัง

 

เขากล่าวอำลาและปิดการประชุมแห่งนี้ลง

 

ขณะที่ทุกคนเริ่มทยอยกันออกไป กรีชาก็หันไปกล่าวกับไคลน์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและแฝงความคาดหวังว่า

 

“ฉันจะรอคุณที่วิหารพระอาทิตย์นะ”จากนั้นร่างของเขาก็เรืองแสงสว่างแล้วจากไป บัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ของกรีชาก็ค่อย ๆ เปล่งประกายระยิบระยับและจากนั้นก็หยุดลงจนกลายเป็นบัลลังก์ธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ

 

ไคลน์มองไปยังตำแหน่งของกรีชาก่อนที่จะจากไปเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถอนหายใจออกมา

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย??”

Notes:

โอโรโบรอสและเมดิชิจะมาในเร็ว ๆ นี้แน่นอน และการเดทของไคลน์และกรีชาก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!

หวังว่าจะชอบกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 6: ไม่ทันตั้งตัว

Summary:

ระหว่างที่กรีชากับไคลน์เดินทางไปยังอาณาจักรเทพของควาสตีร์ก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

ภายใต้แสงสว่างเจิดจรัสสุกสกาวของวิหารพระอาทิตย์อันงดงามใหญ่โตและศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางของนครรัฐแห่งรุ่งอรุณ ร่างของชายหนุ่มคนนึงก็ปรากฏขึ้นจากหมอกสีเทาในรอยแยกของกาลอวกาศที่มีพื้นหลังเป็นสีดำสนิทและมีแสงสีต่าง ๆ ราวกับห้วงอวกาศ

 

ไคลน์เดินออกมาจากโลกแห่งวิญญาณอย่างไม่รีบร้อน เขาปรากฏกายในรูปลักษณ์ที่คุ้นชินที่สุดของเขา รูปลักษณ์ของชายหนุ่มนักอ่าน ลักษณะใบหน้านุ่มนวลเหมือนหนอนหนังสือ นี่คือใบหน้าของไคลน์ โมเร็ตติ

 

หลังจากก้าวออกมาจากโลกแห่งวิญญาณและเหยียบย่ำลงไปบนวิหารพระอาทิตย์ที่ทำจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์แล้ว วิสัยทัศน์ของไคลน์ก็แผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างเพื่อสำรวจ

 

มุมมองของเขาซูมออกแล้วขยายเป็นอาณาเขตขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วทั้งนครรัฐแห่งนี้เอาไว้

 

นครรัฐแห่งรุ่งอรุณขยายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกันกับในอดีตที่เป็นช่วงเริ่มเติม จากที่ไคลน์สัมผัสได้ขณะนี้มีประชากรอยู่ทั้งหมด 438 คน ไม่รวมกรีชา

 

และจำนวนผู้วิเศษหรือมนุษย์ที่ได้ริเริ่มก้าวเดินไปบนเส้นทางเพื่อแสวงหาความศักดิ์สิทธ์และพลังนั้นนับได้เป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดเลยทีเดียว แม้ลำดับเฉลี่ยจากประชาผู้วิเศษทั้งหมดในนครรัฐจะเป็นลำดับต่ำที่มีจำนวนมากกว่าก็ตาม แต่ก็มีลำดับกลางปรากฏอยู่พอประปราย และลำดับสูงน้อยนิดไม่เกิน 10 คน นอกจากนี้ก็ยังไม่มีทูตสวรรค์ลำดับ 2 ปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

 

ในประชากรทั้งหมด 438 ทุกทุกคนล้วนมีศรัทธาต่อเทพสุริยันผู้ยิ่งใหญ่สังเกตเห็นได้ชัดเจนจากรัศมีจาง ๆ ของแสงสีทองที่ปรากฏบนกายดาราของพวกเขาซึ่งเป็นหนึ่งในรอยประทับของกรีชาที่เขามอบไว้ให้กับผู้ศรัทธาซึ่งมีส่วนช่วยในการปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย ความคิดด้านลบ และความหวาดกลัว

 

แต่ที่ไคลน์แปลกใจมากกว่าก็คือนอกจากชาวเมืองจะศรัทธาต่อกรีชาอย่างแรงกล้าแล้ว ก็ยังมีจุดยึดเหนี่ยวหลายส่วนเกินกว่าครึ่งที่มุ่งเป้าหมายมายังตัวเขาเอง ราวกับว่าความเชื่อของชาวเมืองนี้ต่างก็เป็นพหุเทวนิยม

 

แต่สิ่งเหล่านี้ไคลน์ก็พอจะคาดเดาได้ มันล้วนเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในพระคัมภีร์ของกรีชาซึ่งแตกต่างจากไทม์ไลน์ก่อนเป็นอย่างมากและด้วยตัวตนของไคลน์ที่ได้แทรกแทรงประวัติศาสตร์เหล่านั้นเองด้วย

 

เรื่องนี้กอปรกับการที่นครรัฐแห่งนี้ยังไม่ปรากฏทูตสวรรค์เลยสักองค์มันทำให้ไคลน์รู้สึกกังวลแปลก ๆ

 

หรือว่าการมาถึงของฉันได้เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์บางอย่างบนหน้าประวัติศาสตร์ไปแล้ว ลมหายใจของเขาสะดุดอยู่ห้วงหนึ่งอย่างสงสัย

 

ตามลำดับเวลาเดิมในไทม์ไลน์ก่อน... ช่วงเวลานี้กรีชาน่าจะกำลังสร้างตัวตนรองของเขาเองซึ่งเป็นศูนย์รวมของความเป็นมนุษย์ในตัวของเขา และก้าวลงจากตำแหน่งของเทพสองเส้นทางที่สร้างภาระให้กับจิตวิญญาณและจิตใจของเขาแต่-

 

การแทรกแทรงของฉันบางอย่างอาจจะทำให้ตัวของเขาเสถียรกว่าที่ควรเป็นเขาจึงยังไม่ริเริ่มที่จะสร้างซาสรีย์สินะ ในขณะที่ไคลน์ปรับวิสัยทัศน์ของเขากลับมาให้เป็นปรกติและกำลังครุ่นคิดอยู่

 

ร่างของชายที่สูงกว่าไคลน์ก็ก้าวเดินออกมาจากส่วนลึกของวิหารอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว พร้อมกับแสงสว่างสีทองอร่ามอันบริสุทธิ์และความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่ว

 

“คิดอะไรอยู่?”น้ำเสียงอันอ่อนโยนตามปกติของกรีชาดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากไคลน์ทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ความคิด

 

ไคลน์เลื่อนสายตาหันไปมองกรีชาด้วยความสงบ ปรับสีหน้าให้นิ่งเรียบสนิทก่อนที่จะพยักหน้าให้กรีชาเป็นการตอบรับ

 

“ไม่มีอะไรมากหรอก... แล้วเราจะไปกันหรือยัง?”คำถามดังกล่าวทำให้กรีชาแสดงรอยยิ้มเล็กน้อย

 

บุรุษผู้หล่อเหลาราวกับเทพบุตรด้วยรัศมีแสงสว่างสีทองจาง ๆ สะอาดและบริสุทธิ์ก้าวเดินเข้ามาหาชายร่างเล็กกว่าอย่างแผ่วเบาและไม่รีบร้อน

 

“เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”กรีชาตอบไคลน์ด้วยน้ำเสียงเดิมและก้าวมายืนเคียงข้างไคลน์อย่างภาคภูมิ

 

ดวงตาของไคลน์กระตุกเล็กน้อยกับความสูงที่ไม่สมจริงของพวกเขาทั้งสองคน ไคลน์สูงเพียงปลายคางของกรีชาเท่านั้นทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายหากกรีชาเข้ามาประชิดตัว ขณะเดียวกันกรีชาก็ต้องก้มหัวลงมาเพื่อคุยกับไคลน์

 

ไคลน์พ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่เก็บอาการ

 

“คุณนำ”เขากล่าวเสียงนิ่งด้วยใบหน้าเรียบสนิท

 

กรีชาแสดงรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านขณะที่ถือวิสาสะอย่างใดก็ไม่ทราบนำมือของตนไปกุมมือของไคลน์เอาไว้โดยที่ไคลน์ไม่ทันได้ตั้งตัวและเริ่มเดินทาง

 

ไคลน์ยังไม่ทันได้ตอบสนองต่อความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายได้ทันก็ถูกเทเลพอร์ตออกไปแล้ว ร่างของทั้งสองคนที่อยู่ในวิหารพระอาทิตย์อันเงียบสงบและศักดิ์สิทธิ์ก็พลันหายวับไปพร้อมกับแสงวาบเป็นประกายสีทองสว่างจ้า

 

 

 

 

“คุณต้องการอะไรกันแน่?”หลังจากใช้เวลาเดินทางร่วม 1 ชั่วโมงเต็มเพื่อไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพที่พังทลายแล้วของเทพโบราณอย่างควาสตีร์ ไคลน์ก็อดไม่ได้ที่จะถามกรีชาออกมาตรง ๆ ว่าสิ่งที่กรีชากำลังทำอยู่ตอนนี้มันเพื่อจุดประสงค์ใด

 

“ทำไมเราต้องเดินเร่ไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าไม่มีจุดมุ่งหมายล่ะ?”

 

สาเหตุของเรื่องนี้มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อกรีชาพาไคลน์เทเลพอร์ตออกมาจากวิหารพระอาทิตย์ด้วยความสามารถของการเดินทางผ่านแหล่งกำเนิดแสง ทั้งสองคนก็ได้ไปปรากฏตัวอยู่ขอบนครรัฐแล้วเริ่มเดินทางด้วยเท้าผ่านป่าเขาลำเนาไพร แม่น้ำลำธาร ซึ่งไคลน์ไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัดของสิ่งที่กรีชาทำก็ยอมทำตามอีกฝ่าย

 

จวบจนเวลาผ่านพ้นไปร่วม 1 ชั่วโมงสุดท้ายแล้วไคลน์ก็ทนไม่ไหวแล้วตัดสินใจถามออกมาตรง ๆ

 

กรีชาหันหลังกลับมามองไคลน์ที่หยุดเดินด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย ชายรูปงามราวเทพบุตรและมีออร่าแสงสว่างเจิดจรัสรอบตัวมองไปยังชายหนุ่มคนที่แสดงสีหน้าจริงจังอยู่ด้านหลังไม่วายยักคิ้วกวน ๆ ไปอีกพร้อมกับคำพูดตอบโต้ว่า

 

“ฉันนึกอยู่ว่าเมื่อไหร่กันแน่ที่คุณจะถามคำถามนั้น”คำตอบที่ไม่ตรงกับคำถามนั้นทำให้ไคลน์อดไม่ได้ที่จะกรอกตาขึ้นไปบนฟ้าอย่างเปิดเผยโดยไม่เกรงกลัวตำแหน่งเทพสุริยันของคนตรงหน้า

 

ไคลน์กอดอกขึ้นแล้วมองไปยังกรีชาด้วยสีหน้านิ่ง ๆ

 

“หรือว่าจุดประสงค์จริง ๆ ของคุณคือไม่ใช่การพาฉันไป‘เที่ยวชม’อาณาจักรเทพที่พังทลายของควาสตีร์แต่เป็นการถ่วงเวลาเพื่อวางแผนการทำอะไรบางอย่างกับฉันกันแน่?”ไคลนพึมพำด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ทว่าแฝงความหงุดหงิดอยู่ในนั้นเล็กน้อย

 

คำพูดตอบกลับมาของไคลน์ทำให้กรีชาแสดงสีหน้าประหลาดใจ

 

“แผนการดังกล่าวของคุณนั้นน่าสนใจ เอาไว้ฉันจะจดจำแล้วนำไปใช้ที่หลัง”

 

“คุณ!”ไคลน์จ้องเขม็งไปยังกรีชาอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วในที่สุดก็หลุดขำในลำคอออกมาชั่วขณะหนึ่ง

 

“ไม่แกล้งคุณแล้ว.. จุดประสงค์ของเราคือการไปเยือนอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพที่พังทลายของควาสตีร์จริง ๆ แต่การที่ฉันพาคุณเดินท่องไปแบบนี้นั้นมันมีเหตุผลอยู่”เมื่อกรีชาเริ่มอธิบายการกระทำของตัวเองไคลน์ก็ถอนหายใจออกมาแล้วตั้งใจฟัง

 

“นอกจากเป็นหนึ่งในวิธีการระลึกถึงความเป็นมนุษย์บางอย่างของฉันเช่นการเดินทางด้วยเท้าแล้ว ยังเป็นหนึ่งในลิขิตที่ฉันกำหนดเอาไว้ด้วย”ดวงตาของกรีชาเปล่งประกายแสงสว่างขณะที่สบกับดวงตาของไคลน์

 

“นั่นคือการพบพานเทพแห่งสงครามซึ่งเป็นหนึ่งในเทพในเครือของควาสตีร์”

 

เทพแห่งสงคราม?... นี่อาจจะเป็นที่มาของตะกอนลำดับ 1 ผู้พิชิต และเอกลักษณ์ของนักบวชสีชาดอาจจะอยู่ในอาณาจักรเทพที่พังทลายของควาสตีร์ ซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งหมดที่ทำให้กรีชาได้พบกับเมดิชิ เทวทูตสีชาดนั้น ไคลน์ปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับข้อมูลบางส่วนจากคำพูดของกรีชา

 

เมื่อเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของไคลน์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความครุ่นคิด แววตาของกรีชาก็เฉียบคมขึ้นมาบางส่วนขณะที่ซ่อนการตระหนักรู้ดังกล่าวเอาไว้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน

 

คุณรู้อะไรกันแน่ไคลน์... แม้ว่าไคลน์จะมีความสามารถของตัวตลกลำดับสูงใกล้เคียงกับเทพเจ้าก็ตาม แต่ไคลน์ในปัจจุบันเทพไม่ได้ใช้ความสามารถดังกล่าวเลย ไม่ต้องพูดถึงความสามารถอื่น ๆ ในฐานะการดำรงอยู่ที่ทัดเทียมกับเทพพระเจ้าได้ ไคลน์แทบจะเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง ทุกย่างก้าวของเขาไม่มีผิดแผกไปจากปุถุชนคนธรรมดา

 

นั่นทำให้สีหน้าของไคลน์และการแสดงออกของเขาเปิดเผยทุกอย่างต่อกรีชาได้อย่างแม่นยำและไม่ยากเย็นเลย หากไคลน์ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ความสามารถของเขาเพื่อควบคุมการแสดงออกทั้งหมดอย่างแท้จริง กรีชาย่อมจับสังเกตได้แน่นอน

 

และในทุกครั้งที่ไคลน์มีการแสดงออกบนร่างกายของเขา กรีชาก็สังเกตเห็นทุกอย่างเพราะไคลน์ไม่คิดจะใช้ความสามารถเหล่านั้นอยู่แล้ว เขารับฟังคำแนะนำจากจิตแพทย์ส่วนตัวของเขาอย่างมิสจัสติสเสมอ

 

เขาจะไม่สวมหน้ากากหนาจนเกินไป

 

เพราะงั้นในไทม์ไลน์นี้ที่เขาได้เปรียบลอร์ดแห่งความลึกลับคนก่อน และมีความมั่นคงมากกว่าในไทม์ไลน์ที่แล้ว เขาจึงไม่คิดจะสวมหน้ากากหนา ๆ ในเวลาปกติอีกต่อไป หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ

 

“งั้นเราเดินทางกันต่อเถอะ”ไคลน์กล่าวขึ้นหลังจากจัดเรียงความคิดบางอย่างในหัวได้สำเร็จ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองกรีชาก็พบว่าชายคนข้างหน้ากำลังจ้องมองมาหาตนเองอยู่นานแล้ว

 

ดวงตาสีทองประกายระยิบระยับของกรีชาสะท้อนร่างของไคลน์ในดวงตาอย่างงดงาม และมันทำให้ไคลน์ขนลุกแบบแปลก ๆ

 

เขามองฉันทำไม? ไคลน์คิดอย่างงุนงง

 

กรีชาถอนสายตาของเขาออกจากไคลน์แล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้าอย่างช้า ๆ

 

“เช่นนั้นเราก็ไปกันต่อเถอะ”

 

และพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางกันต่อไป

 

 

 

 

 

“ข้างหน้านั่น...”เสียงของกรีชาที่ยังคงความสงบและอบอุ่นอยู่นั้นทำให้ไคลน์ที่เดินตามมาด้านหลังชะงักไปชั่วครู่

 

นั่นเพราะน้ำเสียงดังกล่าวของกรีชามันไม่ปกติสำหรับไคลน์

 

คนทั่วไปอาจจะไม่สังเกตแต่ไคลน์รู้สึกได้ถึงอารมณ์บางอย่างจากน้ำเสียงนั้นได้ มันมีความโกรธปะทุขึ้นอยู่ภายในนั้น

 

ไคลน์มองไปยังร่างของกรีชาที่เปล่งประกายแสงสีทองขึ้นมาด้วยท่าทีสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อร่างของกรีชาเปล่งประกายวาบวามแล้วพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วนั้นมันทำให้ไคลน์ในเวลาต่อมารับรู้ได้ในทันที

 

ข้างหน้าของพวกเขาคือหมู่บ้าน.... หมู่บ้านที่กำลังมอดไหม้ในทะเลเพลิง

 

นี่คือ... ดวงตาของไคลน์เบิกกว้างขึ้น

 

ในเวลาพริบตาเดียวร่างของเขาก็หายลับไปพร้อมกับม่านหมอกสีขาวอมเทาและร่องรอยของโลกวิญญาณชั่วขณะที่ไหลออกมายังบริเวณนั้น

 

ในหมู่บ้านที่มอดไหม้ บ้านทุกหลังปรากฏลมหายใจแห่งความตายและซากศพที่ถูกเผาไม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี

 

สักแห่งในหมู่บ้านดังกล่าวร่างของกรีชากระพริบด้วยความเร็วแสง เปล่งประกายความศักดิ์สิทธิ์อันหนักอึ้งออกมาและแสงสว่างสีทองก็สาดส่องไปทั่วบริเวณ

 

ไคลน์ที่ตามหลังมาในไม่ช้าก็พบว่ากรีชาได้กำราบสัตว์ร้ายที่ได้เผาหมู่บ้านแห่งนี้ลงแล้ว

 

ในมือของกรีชานั้นปรากฏโลหิตสีแดงฉาน แก้มของเขาเปรอะเปื้อนรอยสีชาดจากโลหิตที่สาดกระเซ็นเช่นเดียวกันกับอาภรณ์ที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้กลับอาบย้อมไปด้วยสีชาดอันล้ำลึก

 

ไคลน์รู้ได้ในทันทีเลยว่าสีชาดดังกล่าวนั้นคือโลหิตของสัตว์ในตำนานอย่างแน่นอน และมันยังเป็นสัตว์ในตำนานที่ทรงพลังเป็นอย่างมากด้วย

 

“คุณ...”ไคลน์เอ่ยปากจะถามบางอย่างทว่ากรีชาก็เดินเข้ามาหาไคลน์ด้วยสีหน้าเศร้าโศกอย่างไม่ปกติ

 

ใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตรนั้นเคยสดใสและอ่อนโยนตอนนี้กลับแสดงความเศร้าโศกและอาลัยออกมาอย่างหนักอึ้ง

 

กรีชาเดินเข้ามาหาไคลน์ เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพียงแค่หยิบยื่นของบางอย่างที่เปื้อนเลือดขึ้นมาต่อหน้าก็เท่านั้น

 

ท่ามกลางหมู่บ้านที่ตกอยู่ในทะเลเพลิง มงกุฎเหล็กขึ้นสนิมที่เปื้อนเลือดก็เปล่งประกายแวววาวอย่างเงียบ ๆ ในมือของกรีชา

 

 

ดังนั้นคนที่เผาหมู่บ้านนี้ก็คือเทพแห่งสงครามองค์นั้น ไคลน์ยืนยันความสงสัยของเขาภายในใจ ขณะที่เงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาสีทองอร่ามของกรีชาอย่างเงียบ ๆ

 

“คุณรู้ไหม... ฉันเคยมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน”กรีชากล่าวขึ้นขณะที่ยังคงสบตากับไคลน์ ดวงตาสีทองเปล่งประกายระยิบระยับของเขานั้นปรากฏความเศร้าออกมา

 

“พวกเขาต้อนรับฉันในวันแรกที่ฉันตื่นขึ้นมาจากทะเลโกลาหลในเชอร์โนบิล... พวกเขารับฉันมาในตอนที่ฉันยังไม่สามารถใช้สัพพัญญูได้”ดวงตาที่ระยิบระยับของกรีชาเปล่งประกายวาวโรจน์ขณะที่กองเพลิงยังคงลุกท่วม

 

“ฉันเคยคิดที่จะพาพวกเขาไปด้วยกันกับฉันแต่พวกเขาไม่ยอม พวกเขาหวาดกลัวและบอกฉันว่ามีเพียงการหมอบกราบอยู่แทบเท้าเทพโบราณเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาปลอดภัย”

 

ไคลน์ยังคงรับฟังต่อไปและไม่คิดที่จะกล่าวแทรก เพราะตัวเขาก็เคยประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน สมัยที่เขายังเป็นเหยี่ยวราตรีในทิงเก็นที่ที่เขามาถึงยุคสมัยนี้เป็นครั้งแรกและไม่รู้ประสาอะไรเลยกับความทุกข์ยาก โกลาหล และบ้าคลั่งของโลกใบนี้ ที่ที่เขายังคงสดใสและไร้กังวล ที่ที่เขาคิดว่ายังสามารถกลับไปยังบ้านได้

 

หมู่บ้านแห่งนี้คงไม่ต่างกันมากนักสำหรับกรีชา... แต่ตอนนี้ ไม่มีอยู่อีกแล้ว

 

“เพื่อตามหาความจริงในการเดินทางข้ามเวลาและตอบสนองต่อความอยากรู้ของฉันเองที่มีต่อโลกใบนี้ ฉันเลยจากที่ไหนไป และหลังจากที่ฉันช่วยนิคมของมนุษย์ภายใต้เฟรเกลียและได้กลายเป็นเทพภายใต้ความช่วยเหลือของคุณ เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันทำให้ฉันหลงลืมและไม่ให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย”คำพูดของกรีชานั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกผิด

 

“พวกเขาที่นี่เป็นคนดี... พวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ แต่พวกเขาก็ยังคงหวาดกลัว ในตอนที่ฉันนึกขึ้นได้ว่ายังมีหมู่บ้านนี้อยู่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนสังครามเทพ ฉันเคยส่งทูตมาที่นี่เพื่อพาพวกเขาและมนุษย์ทุกคนในหมู่บ้านนี้ไปรวมกันและสร้างที่พักอาศัยขึ้นใหม่ในนครรัฐแห่งรุ่งอรุณ ที่ที่ฉันจะสามารถปกป้องพวกเขาได้”

 

มือของเขาที่ถือมงกุฎเหล็กที่ขึ้นสนิมและเปื้อนเลือดนั้นกำแน่นขึ้น

 

“แต่พวกเขาไม่ทำ พวกเขาหวาดกลัวต่อทูตของฉันและพวกเขาก็เริ่มสวดอธิษฐานต่อมังกรจิตตนนั้น ฉันไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองจึงได้โขมยความทรงจำทั้งหมดของพวกเขาไป แต่ฉันรู้ว่ามังกรจิตตนนั้นกำลังจ้องมองมาอยู่ เขากำลังค้นหาการมีอยู่ของฉันไปทั่ว ฉันจึงไม่สามารถทำอะไรกับที่นี่ได้ มิเช่นนั้นมังกรตนนั้นจะจับสังเกตเห็นความผิดปกติ และแผนการของเราทุกอย่างจะจบสิ้นลง”เสียงของกรีชาสั่นไหวเล็กน้อยอย่างผิดสังเกต

 

มือของเขากำแน่นลงไปบนมงกุฏเหล็กขึ้นสนิมที่เปื้อนเลือดนั้นเข้าบริเวณคมหนามของมันจนปรากฏบาดแผลแทงลึกลงไปในกายของเทพ

 

โลหิตสีทองอร่ามไหลรินออกมาอย่างช้า ๆ และความศักดิ์สิทธิ์ของเทพสุริยันก็เริ่มรั่วไหลออกมา

 

“แต่ตอนนี้... ทุกอย่างมอดไหม้ไปหมดแล้ว และฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย..”

 

“แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถฟื้นคืนชีพให้กับคนตายได้”

 

พวกเขาทั้งสองคนตกลงอยู่ในห้วงความเงียบงันแห่งการอาลัย ไคลน์เข้าใจทุกสิ่งอย่างกระจ่างแจ้งแล้วถึงสาเหตุของความเศร้าโศกและความโกรธเกรี้ยวของกรีชา

 

นี่มันโหดร้ายจริง ๆ... หากเทียบกับฉันแล้ว ถ้าตอนนั้นฉันไม่สามารถหยุดการสืบเชื้อสายลงมาของพระผู้สร้างที่แท้จริงได้สำเร็จล่ะก็- ไคลน์อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวและความเศร้าโศกที่ตัวเขาจะได้รับจากมัน

 

ฉันจะเป็นคนที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากที่นั่น เมลิซ่า เบ็นสัน ลีโอนาร์ด กัปตันและทุก ๆ คน... ไคลน์หลับตาลงขณะที่ปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ถลำลึกลงไปในจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นความจริง

 

แล้วกรีชาจะรู้สึกแบบไหนกันในตอนนี้ สิ่งที่เขาพบเจอนั้นมันมากกว่าสิ่งที่ฉันพบมากนัก ไคลน์เงยหน้าขึ้นไปมองกรีชาอย่างช้า ๆ

 

ใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพสร้างนั้นเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของความเป็นมนุษย์ที่มหาศาลกว่าจะเข้าถึงได้ในฐานะเทพ โลหิตสีชาดหนึ่งเปื้อนแก้มของเขาเป็นรอยยาวทำให้สีหน้าของกรีชานั้นดูหนักหน่วงเป็นที่สุด

 

ความเป็นมนุษย์ที่มากไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดี หากเป็นแบบนี้ต่อไปเขาย่อมเสียความสมดุลและผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือเขาบ้าคลั่งไปอย่างสมบูรณ์ ฉันควรจะทำอะไรบางอย่าง ไคลน์คิดขณะที่สงสัยว่าจะทำอะไรดีเพื่อปลอบโยนอารมณ์อันร้ายแรงของกรีชา และช่วยอีกฝ่ายไม่ให้สูญเสียการควบคุม

 

“ฉันขอให้เพลิงไหม้ในสถานที่แห่งนี้มอดดับลง”

 

ไคลน์สร้างปาฏิหาริย์บางอย่างที่เรียบง่ายและภายใต้เสียงดีดนิ้วของเขาเปลวเพลิงที่ลุกไหม้และทะเพลิงก็ค่อย ๆ มอดดับลงอย่างช้า ๆ

 

ไคลน์เม้มริมฝีปากเข้าหากันขณะที่เงยหน้าขึ้นไปสบตากับกรีชาซึ่งสูงกว่าเขา

 

“สีหน้าในตอนนี้ไม่เข้ากับคุณเลยนะรู้ไหม?”คำพูดเบา ๆ ธรรมดา ๆ ของไคลน์ทำให้กรีชาหลุดออกจากภวังค์ความเศร้าหมอง

 

ไคลน์ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่เปื้อนอยู่บนแก้มของคนตัวสูงกว่าอย่างถือวิสาสะ ทำให้ใบหน้าของพวกเขาชิดเข้าหากันกว่าในเวลาปกติและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

ไคลน์พยายามควบคุมสีหน้าตัวเองไม่ให้มีรอยแดงปรากฏอยู่บนใบหูและแก้มขณะที่เช็ดเลือดออกจากแก้มของกรีชาไปจนหมด

 

กรีชาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงไปชั่วขณะอย่างที่ตัวเองไม่กล้าคิดฝันว่าไคลน์จะทำแบบนี้ให้

 

เมื่อไคลน์ผละออกจากตัวเองแล้ว กรีชาก็ถอนหายใจออกมา เขาปรับสีหน้าและอารมณ์ของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ริมฝีปากแสดงรอยยิ้มจาง ๆ

 

ขอบคุณไคลน์ กรีชาได้สติแล้ว เขาขอบคุณไคลน์ภายในใจหลังจากที่ตัวเองได้รับสติกลับคืนมาจากห้วงความเศร้าที่เกินคณานับและความไม่สมดุลกันระหว่างความเป็นเทพและความเป็นมนุษย์

 

เรื่องราวบางอย่างที่กระทบกับจิตใจของเขานั้นส่งผลมหาศาลมากเมื่อเทียบกับมนุษย์ สำหรับมนุษย์เรื่องบางเรื่องเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะกระทบต่อโลกแห่งจิตใจและแนวคิด ทว่าสำหรับเทพเจ้าเรื่องบางเรื่องนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมกระทบต่อจุดยึดเหนี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้และมันย่อมส่งผลถึงความเสถียรของเทพองค์นั้น ๆ อย่างแน่นอน

 

หมู่บ้านแห่งนี้ที่ถูกเผาไหม้ด้วยฝีมือของเทพแห่งสงครามนั้นคือจุดยึดเหนี่ยวแรกสุดของกรีชานับแต่เขาตื่นขึ้นมาในยุคนี้ ยุคที่มืดมิดและโกลาหล เขาได้พบกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นครั้งแรกที่นี่ และมีประสบการณ์ดี ๆ จากที่นี่ด้วย

 

และการที่มีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นกับที่นี่จนทำให้หมู่บ้านนี้ถูกเผาไหม้เป็นจุลไม่เหลือซากนั้นมันทำให้จุดยึดเหนี่ยวของกรีชาสั่นสะเทือน แม้กรีชาจะมีผู้ศรัทธาจำนวนมากและมีเสถียรภาพมาโดยตลอด

 

แต่เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเศร้าโศกมหาศาลให้กับเขาและจุดยึดแรกที่สำคัญที่สุดของเขาได้รับผลกระทบไปด้วย มันทำให้เขาเสียสมดุลและสูญเสียความสามารถในการระงับรอยประทับจิตไปชั่วขณะ เพราะเขาตกอยู่ในความเศร้าโศก

 

โชคดีของกรีชาที่มีไคลน์อยู่ที่นี่ ไคลน์ก็เป็นอีกจุดยึดเหนี่ยวหนึ่งที่สำคัญของกรีชาและเมื่อไคลน์เอ่ยเรียกกรีชานั้นมันก็ทำให้กรีชาหลุดออกจากภวังค์ความคิดและห้วงความเศร้าโศกได้

 

มันทำให้เขาได้รับสติกลับคืนมาและสามารถกลับมาสร้างความเสถียรต่อรอยประทับจิตได้ดังเดิม

 

กรีชาหลับตาลงและเริ่มปรับสมดุลของรอยประทับจิตในร่างกาย ภาระที่เขาได้รับจากการแบกรับรอยประทับจิตของเสาหลักและปฐมกาลถึง 2 การดำรงอยู่นั้นช่างแสนสาหัส การสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะก็อันตรายมากพอแล้ว

 

เมื่อไคลน์เห็นกรีชาเริ่มปรับสมดุลในตัวเองแล้ว ออร่าที่รั่วไหลออกมาอย่างผิดปกตินั้นก็เริ่มสงบลงและเลือนหายไปในที่สุด

 

ระหว่างที่รอกรีชาไคลน์ก็อดที่จะทำอะไรบางอย่างไม่ได้

 

“ที่นี่ยังมีผู้รอดชีวิตหรือไม่”

 

ไคลน์ใช้พลังแห่งการพยากรณ์ในระดับสูงสุดที่เขาสามารถเข้าถึงได้เสริมด้วยพลังของปราสาทต้นกำเนิด ในชั่วพริบตาเดียวที่เขาปรารถนาจะรู้โลกแห่งวิญญาณก็แสดงการเปิดเผยที่เกี่ยวข้องมาให้กับเขาในทันที

 

ภาพของชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่นอนอยู่ในซากปรักหักพังของบ้านที่ถูกเผาแต่เปลวเพลิงได้มอดดับแล้วปรากฏขึ้น

 

ชายหนุ่มคนนั้นมีเส้นผมสีน้ำตาลทว่าปรากฏร่องรอยของสีแดงสดจาง ๆ ที่โคนผม ใบหน้าของเขาละเอียดอ่อน จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากบาง และมีโครงหน้าคมราวกับขุนนาง เขาดูอายุราว ๆ 14-15 ปี

 

นี่คือ!?... ไคลน์ลืมตาขึ้นมาเมื่อนิมิตที่ได้รับสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

 

เขามองกลับไปยังกรีชาที่ยังคงหลับตาอยู่เพื่อปรับสมดุลอีกครั้งด้วยสายตาเปล่งประกายระยิบระยับ

 

ไม่ผิดแน่ !

คนที่ฉันเห็นเมื่อครู่คือ

เมดิชิ !!

Notes:

ฉันสร้างเรื่องราวพื้นหลังบางอย่างของกรีชาขึ้น และเชื่อมโยงกับตัวตนของเมดิชิ และนั่นจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมในอนาคตเมดิชิถึงเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อกรีชาและไม่เคยหยุดที่จะเชื่อในตัวของเขา

นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่ากรีชาที่อบอุ่น อ่อนโยน และสงบกว่าใครนั้นก็ยังมีมุมของความเศร้า เขาเศร้าโศกได้เหมือนทุกคน และมีความเศร้าที่แข็งแกร่งด้วยซ้ำหากไม่ได้ไคลน์อยู่ที่นั่น เขาก็คงไม่พ้นความบ้าคลั่งแน่นอน

หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 7: ในภายภาคหน้า

Summary:

ออกเดินทางกันต่อ

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

นี่คือเมดิชิใช่ไหม? ไคลน์กระพริบตาขณะที่ครุ่นคิดอย่างสงสัยและใคร่รู้ เขาหันกลับไปมองยังกรีชาอีกครั้งเพื่อเช็คว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ

 

ไคลน์เดินผ่านซากปรักหักพังที่บ้างกลายเป็นเถ้าธุลีและบ้างยังคงเศษซากอยู่ทิ้งร่างทรงรัศมีเจิดจรัสของกรีชาไว้ด้านหลังด้วยสมาธิและความสนใจ

 

ดวงตาของเขาสอดส่องไปทั่วบริเวณทุกจุดและเฝ้าหาสัญญาณแห่งความคุ้นเคยจากภาพในนิมิต จิตวิญญาณของเขานำทางเขามายังทิศนี้และโชคชะตาก็ราวกับจะกระซิบอยู่ข้างหูของเขาตลอดเวลา

 

ยิ่งเดินลึกเข้าไปในซากปรักหักพังมากเท่าไหร่ไคลน์ก็ยิ่งรู้สึกรีบร้อนและตื่นเต้น

 

ถึงแม้เมดิชิในสมัยของเขาอาจจะเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายก็ถือว่ามีความจริงใจอยู่บ้างและเป็นบุคคลที่สามารถสนทนาด้วยได้ มันดีกว่าการได้พูดคุยกับอามุนด์แน่นอน

 

นั่นไง !

 

ร่างของเด็กวัยรุ่นผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลผสมกับสีแดงที่เปื้อนรอยขี้เถ้าและเศษฝุ่น ใบหน้าเด็กหนุ่มซีดและนิ่งสนิทราวกับคนตายทว่ายังคงหายใจอยู่ บนร่างกายปรากฏแผลผุพองจำนวนมากที่บริเวณขาและแขน

 

เสื้อผ้าของอีกฝ่ายไม่ได้แตกต่างไปจากของคนในยุคสมัยนี้มากนักและตอนนี้บางส่วนก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นฝุ่นไปแล้วด้วย

 

ไคลน์ไม่รอช้าเดินตรงเข้าไปหาร่างที่นอนสลบไสลอยู่ตรงนั้นในทันที

 

“ฉันปรารถนาให้อาการบาดเจ็บของเมดิชิได้รับการเยียวยา”หลังเสียงดีดนิ้วด้วยพลังแห่งปาฏิหาริย์อันทรงพลัง ร่างกายของเมดิชิที่ปรากฏบาดแผลและแผลผุพองจากไฟก็พลันหายไปแทนที่ด้วยชั้นผิวใหม่ที่สะอาดสะอ้าน

 

เมื่อรักษาให้รอดพ้นจุดอันตรายสำเร็จแล้วไคลน์ก็เปิดประตูขึ้นแล้วลากผ่านร่างของอีกฝ่ายโดยตรง

 

ร่างของเด็กชายที่นอนอยู่ก็ถูกประตูลึกลับลวงตาที่เปล่งแสงสีทองผสมสีน้ำเงินวาดผ่านไปทั้งร่างจากส่วนหัวจรดเท้าแล้วหายวับเข้าไปในบานประตูนั้น จากนั้นแล้วบานประตูดังกล่าวก็ลอยเข้ามาตั้งอยู่ตรงหน้าของไคลน์

 

ภาพของอีกฝั่งในบานประตูปรากฏภาพลวงราวกับระลอกคลื่นบนผิวน้ำแล้วทิวทัศน์ของอีกฝั่งก็เปลี่ยนไป

 

มันกลายเป็นสถานที่ที่กรีชากำลังปรับสมดุลอยู่ และที่อีกฝั่งนั้นกรีชาได้ทำการปรับสมดุลสำเร็จแล้ว

 

ไคลน์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นกรีชาจากอีกฝั่ง เขาก้าวเท้าเข้าไปในบานประตูดังกล่าวจากอีกสถานที่หนึ่งและโผล่ไปยังบานประตูอีกฝั่งที่อยู่ตรงหน้าของกรีชาโดยไม่ขาดช่วง

 

“คุณเป็นยังไงบ้าง?”ไคลน์กล่าวถามกรีชาทันทีหลังจากก้าวพ้นบานประตูลึกลับลวงตาออกมาแล้ว

 

ดวงตาสีทองอร่ามของกรีชาทอแสงประกายระยิบระยับชั่วขณะ ร่างสูงใหญ่ของเขานั้นยังคงสูงตระหง่านและแข็งแกร่งเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงทว่าสีหน้าของเขานั้นกลับแตกต่าง

 

และมันดู... สมจริงขึ้น?

 

“ฉันสบายดี... ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างฉัน”กรีชากล่าวคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและใบหน้าที่จริงใจ เขาก้มหน้าลงและมองลึกเข้าไปในดวงตาของไคลน์

 

“ไม่เป็นไรหรอก”ไคลน์ตอบกลับแล้วหันสายตาออกมาจากดวงตาสีทองคู่นั้นไปด้านข้างแทน

 

“คุณไปไหนมา?”คำถามดังกล่าวที่ดังขึ้นมาข้าง ๆ หูของไคลน์ทำให้เขาจั๊กจี้เล็กน้อยเพราะสายลมที่สัมผัสเข้ากับใบหู ทว่าเนื้อหาของคำพูดจากน้ำเสียงอันอ่อนโยนดังกล่าวทำให้ไคลน์แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

 

“ทำไมคุณไม่ใช้สัพพัญญูดูล่ะ?”คำพูดตอบกลับมาของไคลน์ทำให้กรีชาชะงักไปเล็กน้อย

 

จากนั้นคนตัวโตกว่าก็ระบายรอยยิ้มออกมาอย่างไม่คิดอะไรแล้วกล่าวว่า

 

“อยู่กับคุณฉันอยากจะทำตัวให้เป็น‘มนุษย์’มากกว่าน่ะ”กรีชากล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับสุริยันกำลังขึ้น

 

“แต่หากคุณอยากให้ฉันทำฉันก็ทำให้ได้นะ”

 

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรมากหรอก”ไคลน์กล่าวห้ามไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

เขาหันหน้ากลับมาประจันหน้ากับกรีชาด้วยสีหน้าที่นิ่งขึ้น แล้วกล่าวย้ำว่า

 

“ตอนนี้สภาพของคุณไม่ควรจะยืมอำนาจและพลังจากทะเลโกลาหลเลย เพราะงั้นอย่าพึ่งทำอะไรเกินตัว”สีหน้าจริงจังและน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของไคลน์อย่างแท้จริงนั้นทำให้หัวใจของกรีชารู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา

 

เขาแสดงรอยยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบังด้วยแววตาเปล่งประกายและพยักหน้าให้ไคลน์อย่างว่าง่าย

 

“ฉันเข้าใจแล้ว”

 

ไคลน์มองปฏิกิริยาตอบโต้จากกรีชาด้วยสายตาแหลมคม เมื่อมั่นใจแล้วว่ากรีชาจะทำตามคำแนะนำของเขาจริง ๆ แล้วจึงหันหน้าไปข้างหน้าแล้วกล่าวต่อว่า

 

“เรื่องที่ว่าไม่มีอะไรมากนั้น ความจริงแล้วฉันได้ค้นพบอะไรบางอย่างเข้าน่ะ”ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบขึ้น ขณะที่มองไปยังบริเวณโล่ง ๆ ตรงหน้าและยื่นมือออกมา

 

บานประตูลึกลับโปร่งแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองอย่างฉับพลัน ร่างของเด็กหนุ่มคนนึงก็เลื่อนออกมาจากบานประตูนั้นที่มีภาพทิวทัศน์ของอีกฝั่งเป็นสีดำสนิท

 

อีกฝั่งของบานประตูนั้นคือโลกแห่งความลับนั่นเอง

 

“เขาคือ?..”กรีชากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ

 

เมื่อใบหน้าของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่มีโคนผมเป็นสีแดงปรากฏให้ได้เห็นอย่างชัดเจน ดวงตาของกรีชาก็เบิกกว้างขึ้น

 

“...เมดิชิ? ”

 

โดยไม่ยากเย็นกรีชาก็สามารถระบุตัวตนของเด็กหนุ่มคนดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย และแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่ากรีชาสามารถจดจำการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มคนดังกล่าวด้วยเมื่อครั้งที่เขาเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้ในอดีต

กรีชาก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อมองดูเด็กหนุ่มคนดังกล่าวให้ชัดเจนด้วยท่าทีราวกับมนุษย์อย่างรีบร้อนและตื่นตระหนก

 

แต่เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าไคลน์ได้ทำการรักษาอีกฝ่ายจนหายดีแล้วและตอนนี้ก็เป็นเพียงการหมดสติเท่านั้นจึงทำให้ท่าทีของกรีชาสงบลง

 

“เขาเป็นคนเดียวที่ยังรอด”ไคลน์กล่าวและก้าวมายืนเคียงข้างกรีชาอย่างช้า ๆ

 

ดวงตาที่แฝงความกังวลและห่วงใยของเขายังคงเหลือบมองไปยังคนข้างกายไม่ขยับไปไหน

 

“ขอบคุณไคลน์”กรีชาหันหน้ามาหาไคลน์ด้วยความซาบซึ้งใจและดวงนัยน์ตาสีทองอร่ามของเขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์ราวกับมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

 

ไคลน์ยกรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีดังกล่าวของกรีชา

 

“แล้วคุณคิดจะทำอย่างไรกับเขา?”คำถามดังกล่าวของไคลน์ทำให้สีหน้าของกรีชาเคร่งขรึมขึ้นมา

 

เขาที่ว่าที่ไคลน์กล่าวถึงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเด็กหนุ่มที่ชื่อเมดิชิคนนี้

 

“ฉันจะต้องส่งเขาไปยังที่ที่ปลอดภัย”กรีชากล่าวตอบไคลน์ด้วยความสัตย์จริง ขณะที่พวกเขาเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่ยังคงสลบไสลด้วยสีหน้าอ่านยาก

 

“ส่งเขาไปยังนครรัฐแห่งรุ่งอรุณของคุณ...”ไคลน์พยักหน้าให้กับคำพูดดังกล่าวของกรีชา แน่นอนว่านอกจากโลกแห่งความลับของอามานิสและดินแดนของไคลน์แล้วบนโลกใบนี้สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของมวลมนุษยชาติก็คงจะหนีไม่พ้นดินแดนภายใต้การปกครองของกรีชา

 

“แล้วเรื่องราวในภายหน้าของเขาล่ะ?”

 

สำหรับไคลน์ ในนครรัฐแห่งรุ่งอรุณที่นั่นเมดิชิจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขแน่นอนตราบใดที่กรีชายังคงมีชีวิตอยู่

 

แต่เรื่องราวในภายภาคหน้าของเขาล่ะ? ทูตสวรรค์สีชาดองค์นั้น เทพแห่งสงครามผู้โด่งดัง และผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้าสุดหัวใจ เรื่องราวเหล่านี้จะยังคงปรากฏขึ้นมาบนหน้าประวัติศาสตร์อีกหรือไม่?

 

“เรื่องราวในภายภาคหน้าของเขา...”แสงสว่างสีทองในดวงตาของกรีชาเปล่งประกายขึ้นมา ในขณะที่เขาทวนคำกล่าวถามของไคลน์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่กลับก้องกังวาล

 

พื้นที่รอบข้างพลันปรากฏออร่าอันทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในทันที และไคลน์ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากรีชากำลังจะทำอะไร

 

นอกจากอำนาจแห่งสัพพัญญูและพยากรณ์แล้ว เทพสุริยันบรรพกาลหรือกรีชานั้นก็ยังสามารถกำหนดอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้บางส่วนอีกด้วย

 

และเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้นั้น ไคลน์ก็รอคอยไม่ไหวแล้วที่จะได้รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปตามคำพยากรณ์นั้นของกรีชา

 

ชั่วขณะต่อมาความกดดันจากเทพเจ้าและออร่าทั้งหมดก็พลันสงบลงอย่างทันทีพร้อมเพรียงกัน แสงสว่างสุกสกาวเรืองรองริบหรี่และเลือนหายไปจากดวงตาของกรีชา

 

ขณะที่ชายหนุ่มยกรอยยิ้มอ่อนขึ้นที่มุมปากและหันหน้ากลับมาตอบไคลน์ซึ่งแสดงสีหน้าสงสัยและสับสน

 

“เรื่องราวในภายหน้าของเขานั้น....”ดวงตาสีทองของกรีชาสะท้อนภาพของซากปรักหักพังใต้เถ้าธุลีของหมู่บ้านแห่งนี้ขณะที่แสงจากดวงอาทิตย์สีทองระยิบระยับอยู่ภายในดวงเนตรของเขา

 

“ให้เขาได้เป็นผู้เลือกทางนั้นเองเถิด”คำพูดประโยคนี้ดังก้องกังวานอยู่ภายในใจของไคลน์ในทันที

 

ให้เขาได้เป็นผู้เลือกทางนั้นเองเถิด...

 

ดวงตาสีดำสนิทของไคลน์นั้นก็พลันพร่าเลือนและบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนอย่างที่ควรจะเป็นในฐานะมนุษย์

 

ร่างของกรีชาที่สูงสง่าและยิ่งใหญ่สะท้อนอยู่ภายในดวงตาที่อบอุ่นขึ้นมาของเขา

 

คุณเปลี่ยนไปแล้ว... นี่เป็นคำกล่าวที่ไคลน์ไม่ได้เอ่ยออกไปตรง ๆ ทว่าสีหน้าและแววตาของเขาซึ่งจ้องมองไปยังกรีชานั้นทำให้กรีชาสามารถเข้าใจได้ทุกอย่าง

 

กรีชาที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์ครั้งใหม่นั้นดีกว่าครั้งก่อนเสียอีก

 

แม้ไคลน์จะรู้สึกเสียดายตำแหน่งทูตสวรรค์สีชาดของเมดิชิในอนาคตเล็กน้อยก็ตาม แต่หนทางนี้ควรเป็นสิ่งที่เมดิชิได้เลือกเดินเอง

 

เมดิชิไม่ใช่เทพโบราณผู้ชั่วร้ายและบ้าคลั่งเสียหน่อยถึงจะมีความจำเป็นต้องกำจัดหรือบงการ เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับแผนการระดับเทพใด ๆ เลย

 

เพราะเมดิชินั้นก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้นเช่นเดียวกันกับมนุษย์คนอื่น ๆ ในยุคนี้ พวกเขาเป็นเพียงเศษธุลีเล็ก ๆ เท่านั้นในโลกใบนี้ ในไทม์ไลน์ก่อนพวกเขาไม่สามารถสร้างริ้วคลื่นใด ๆ ให้กับหน้าประวัติศาสตร์ได้เลย

 

แต่มันต่างกันในตอนนี้ ที่นี่มีไคลน์อยู่

 

การดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกคนล้วนมีความหมาย

 

ตราบใดที่ความเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับไคลน์ไม่สูญเสียไป

 

การเสียสละของเขาจะยังคงอยู่

 

และเขาจะหาทางช่วยเหลือมนุษย์ให้มากที่สุดเพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องราวที่จะได้ผจญในอนาคต และไม่ว่ามันจะหนักหนาสาหัสมากเพียงใดก็ตามเขาจะต้องผ่านพ้นมันและฝ่าฟันมันไปให้ได้

 

ในห้วงความคิดของไคลน์ที่ได้ตั้งปนิธานให้กับตัวเอง กรีชาก็ได้ส่งเมดิชิกลับไปยังนครรัฐแห่งรุ่งอรุณแล้วพร้อมกับเผยแผ่คำพยากรณ์ให้กับผู้ศรัทธาเพื่อให้การดูแลเด็กหนุ่มเป็นอย่างดีอีกด้วย

 

จากนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้ว กรีชาก็เดินเข้ามาหาไคลน์ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า

 

“เราไปกันต่อเถอะ”ดวงตาของเขาระยิบระยับด้วยแสงสีทองเมื่อจ้องมองลงมายังใบหน้าของไคลน์

 

ดวงตาของไคลน์หลุดออกจากการเหม่อลอยและปรับโฟกัสไปยังใบหน้าของกรีชาที่อยู่ใกล้ ๆ

 

“ไปกันเถอะ”เขาตอบอีกฝ่ายเบา ๆ

 

จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินทางต่อไป ทิ้งเบื้องหลังแสงสนธยาย่ำค่ำเอาไว้เบื้องหลัง

 

มุ่งตรงไปยังรัตติกาลที่กลืนกินท้องนภาและโลกทั้งใบ จุดหมายปลายทางสุดท้ายโดยไม่แวะพักอีกต่อไป

 

นครแห่งมลทิน ศูนย์รวมของมลพิษทุกชนิดและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกประเภท

 

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่พังทลายและล่มสลายของควาสตีร์!

Notes:

พึ่งเปิดภาคเรียนไม่กี่สัปดาห์ผมก็ได้รับมอบหมายงานจำนวนมากแล้ว!!

ขออภัยที่ทำการอัพเดตได้ไม่สม่ำเสมอ และพยายามใช้เวลาว่างมาเขียนตอนนี้จนสำเร็จในที่สุด

หวังว่าจะชอบกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 8: นครแห่งมลทิน

Summary:

ไคลน์และกรีชาออกสำรวจนครแห่งมลทินและสังหารหายนะบรรพกาล

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะได้ออกเดินทางกันอย่างเต็มรูปแบบกรีชาก็ได้มอบมงกุฎเหล็กเปื้อนสนิทและเลือดอันเป็นตะกอนพลังลำดับ 1 ผู้พิชิตที่เขาได้รับจากการสังหารเทพแห่งสงครามที่ได้ทำลายหมู่บ้านมนุษย์องค์นั้นให้ไว้กับไคลน์

 

แน่นอนว่าไคลน์ไม่ได้ถามว่าทำไมกรีชาถึงนำสิ่งนี้มาไว้กับเขา เขาเพียงแค่โยนมันเข้าไปไว้ในกองขยะบนปราสาทต้นกำเนิด ซึ่งมีแผ่นศิลาเย้ยเทพนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วย

 

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเดินทางกันอย่างเต็มรูปแบบโดยที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางทางอีก

 

 

 

“แม่.. พ่อ..”เสียงกระซิบแผ่วเบาแหบแห้งดังออกมาจากริมฝีปากสีอ่อนของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงไม้ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ

 

เปลือกตาของเด็กหนุ่มขยับเล็กน้อยและค่อย ๆ เปิดขึ้นมา และเขาก็พบกับเพดานของบ้านที่ไม่คุ้นเคย

 

ร่างของเด็กหนุ่มพลันสะดุ้งขึ้นมานั่งตัวตรงด้วยสีหน้าซีดเซียวและดวงตาที่ตื่นตระหนก

 

ทันใดนั้นเองร่างของผู้ใหญ่อีกคนก็เดินเข้ามาภายในห้องอันสะอาดสะอ้านนั้นอย่างช้า ๆ ผู้ที่เดินเข้ามาคือชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีอ่อน เขามีใบหน้าอันนุ่มนวลของนักวิชาการ และมีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ในมือของเขาถือถ้วยไม้บางอย่างเอาไว้

 

“คุณตื่นแล้ว... อย่าพึ่งตกใจไปตอนนี้คุณปลอดภัยดี”ชายหนุ่มที่เข้ามากล่าวด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอันอบอุ่น ขณะที่วางถ้วยไม้ที่บรรจุบางอย่างเอาไว้ลงบนโต๊ะข้าง ๆ เตียงของเด็กหนุ่มที่ตื่นตระหนก

 

จากนั้นชายที่โตกว่าก็มองมายังเด็กหนุ่มที่ยังคงหวาดระแวงอยู่ด้วยสีหน้าอ่อนโยนและดวงตาที่แฝงความสงสาร

 

“คุณจำได้ไหมว่าตัวเองชื่ออะไร?”คำถามดังกล่าวทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งตัวตรงอยู่บนเตียงแสดงสีหน้าสับสนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

จากนั้นดวงตาสีน้ำตาลแดงของเด็กหนุ่มก็พลันเข้มข้นขึ้นและภาพบางอย่างพร้อมนกับน้ำเสียงอันอบอุ่นก็ดังขึ้นภายในหูของเขา

 

“อนาคตคือทางเลือกของคุณเมดิชิ... คุณปลอดภัยแล้ว”

 

และภาพที่เมดิชิเห็นก็คือแสงสว่าง แสงพร่างตาและร่างพร่ามัวของคนสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างนั้น คนแรกเป็นชายร่างใหญ่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยแสงสว่างและมีน้ำเสียงที่เมดิชิคุ้นเคยและจำไม่เคยลืม

 

พี่กรีชา?...

 

ส่วนอีกคน- ชายที่มีรูปร่างเล็กกว่าแต่กลับทรงพลังและน่าเกรงขามไม่แพ้กัน เขานั้นมีร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทาและออร่าของความลึกลับบางอย่าง ทว่าเมื่อยืนเคียงข้างกันกับแสงสว่างแล้วกลับลงตัวพอดีและไม่เห็นถึงความแตกแยกแม้แต่น้อย

 

จากนั้นเมดิชิก็หลุดออกจากภวังค์ ตรงหน้าของเขาที่ดวงตาของเขาจับจ้องมองคือสีหน้าของผู้รักษาที่ยังคงมีแต่ความสงสารและเห็นใจเขา

 

“ข้า... ข้ามีนามว่าเมดิชิ”เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าความหวาดระแวงของเขาได้ถูกละวางลงแล้ว

 

ผู้รักษาซึ่งเป็นชายที่โตกว่าเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้แสดงรอยยิ้มออกมา

 

“เอาล่ะเมดิชิ จงดื่มยานี้ให้หมดเถิดแล้ววันพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปลงทะเบียนตัวตนกับผู้อาวุโสที่สภาผู้อาวุโส”จากนั้นก็ยื่นถ้วยไม้ที่บรรจุน้ำสีเขียวที่มีแต่กลิ่นสมุนไพรให้กับเด็กหนุ่ม

 

เมดิชิรับถ้วยไม้มาอย่างไม่ต่อต้าน เขาจ้องมองลงไปบนพื้นผิวของยาที่บรรจุอยู่ในนั้นด้วยแววตานิ่งสงบขึ้น และได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว

 

จากนั้นเขาก็ดื่มยาลงไปในรวดเดียวจนหมด

 

ขณะที่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณและศรัทธาต่อคนที่ช่วยเขา

 

พระเจ้า.. เทพสุริยัน

 

 

 

 

ในพื้นที่รกร้างที่ซึ่งแสงจากดวงสุริยะไม่สามารถสาดส่องเข้ามาได้เช่นเดียวกันกับอดีตอาณาจักรเทพของเฟรเกลียนั้น ร่างสองร่างก็พลันปรากฏขึ้นที่ขอบของแดนแห่งการกลายพันธุ์ นครแห่งมลทิน!

 

“ระดับการปนเปื้อนที่นี่สูงมาก...”ไคลน์กล่าวเสียงเบาขณะที่หมอกสีขาวอมเทาเริ่มรั่วไหลออกมาจากร่างกายของเขาเพื่อป้องกันเขาจากการถูกปนเปื้อนด้วยพลังแห่งการกลายพันธุ์และปรารถนาที่ตกค้างอยู่ในที่นี่

 

“ไม่น่าแปลกใจนักเมื่อเทียบกับระดับการปนเปื้อนของมารดาพฤกษาแห่งแรงปรารถนาที่มีต่อควาสตีร์ ที่นี่เป็นแค่ผลจากอิทธิพลนั้นเพียงผิวเผินเท่านั้น”กรีชากล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงสงบขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งแสงสีทองขึ้น

 

และมือของเขาที่ถือไม้กางเขนสีเงินเอาไว้ก็แผดแสงสว่างออกมาพร้อมกันกับพลังแห่งการชำระล้าง และบริเวณโดยรอบก็พลันถูกชำระล้างไปในทันทีด้วยพลังระดับเทพ

 

“ฉันคิดว่าเราไม่ควรทำตัวประเจิดประเจ้อจนเกินไป”ไคลน์หันศีรษะไปมองกรีชาด้วยสายตากังวลเล็กน้อย

 

“เราไม่รู้เลยว่า‘พระองค์’จะจ้องมองมาที่นี่เมื่อใด เพราะงั้นเราควรทำให้มันเป็นความลับมากกว่านี้”คำเตือนของไคลน์ทำให้สีหน้าของกรีชาอ่อนลง และแสงสว่างที่ควบแน่นรอบร่างกายของกรีชาก็ค่อย ๆ สลาหายไป

 

ดวงตาของเขากลับมาเป็นปกติและก็ขยับกายเดินเข้ามาใกล้ ๆ ไคลน์มากขึ้น

 

“ฝากคุณด้วย”แน่นอนว่ากรีชาเทพแห่งสุริยะไม่มีอำนาจในการปกปิด เพราะฉะนั้นแล้วในสถานที่แห่งนี้จึงมีเพียงไคลน์เท่านั้นที่จะสามารถใช้อำนาจการปกปิดได้

 

“อืม”ไคลน์พยักหน้าจากนั้นก็สร้างอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ของบริวารเร้นลับขึ้นมารอบ ๆ พวกเขาซึ่งเสริมด้วยพรจากปราสาทต้นกำเนิดอย่างน้อยความลับที่ไคลน์สร้างขึ้นก็จะสามารถปกปิดการสอดรู้สอดเห็นจากเหนือลำดับที่ไม่สมบูรณ์อย่างมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายในตอนนี้ได้

 

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

 

จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปภายในนครแห่งมลทินจนร่างของทั้งคู่และม่านปราการลวงตาที่เกิดจากอาณาจักรแห่งความลับเลือนหายเข้าไปสู่แดนลึกที่เต็มไปด้วยหมอกสีเหลืองและมลทินมากมาย

 

ยิ่งเดินเข้ามาลึกเรื่อย ๆ หมอกสีเหลืองก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นและมลทินรวมถึงการปนเปื้อนก็ยิ่งสูงขึ้นด้วย โชคดีที่ไคลน์ในตอนนี้นั้นคือผู้ปกครองปราสาทต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์เพียงคนเดียวในตอนนี้และด้วยพลังระดับแก่นแท้นั้นเขาจึงสามารถต้านทานและชำระล้างการปนเปื้อนระดับนี้ได้ไม่ยากนัก

 

ส่วนกรีชานั้นในฐานะลำดับ 0 สุริยันเขาก็สามารถชำระล้างการปนเปื้อนและมลทินเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว และหากระดับมลทินมันสูงเกินไปเขาก็สามารถเชื่อมต่อกับทะเลแห่งความโกลาหลเพื่อยืมอำนาจที่สูงกว่ามาต้านทานและชำระล้างได้อีกด้วย

 

เพราะงั้นตอนนี้มลทินและการปนเปื้อนระดับสูงในนครแห่งมลทินนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับทั้งสองคน

 

และในระหว่างทางที่เดินเข้ามาลึกเรื่อย ๆ ไคลน์กับกรีชาก็พบสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์มากมายที่ล้วนบ้าคลั่งไปจนหมดแล้ว และสภาพแวดล้อมของนครแห่งมลทินนี้นั้นก็มีแต่ความเน่าเปื่อยและเสื่อมทรามเท่านั้น

 

มันคือแดนรกร้างดี ๆ นี่เอง

 

“แล้วที่ไหนคือคลังสมบัติของควาสตีร์?”ไคลน์หันหลังกลับมาคุยกับกรีชาด้วยสีหน้าสงสัย

 

กรีชาแสดงรอยยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า

 

“บังเอิญว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...”คำพูดดังกล่าวที่ออกมาจากปากของกรีชานั้นทำให้ไคลน์แสดงสีหน้าว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง

 

“คุณไม่รู้เหรอ? คุณ!?”สีหน้าของไคลน์ดำทมึนขึ้นมาอย่างอันตราย ในขณะเดียวกันกรีชาก็แสดงสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและสงบว่า

 

“แต่ฉันรู้วิธีการหาตำแหน่งของมัน”กล่าวคือตอนนี้กรีชาไม่รู้ว่าคลังสมบัติดังกล่าวนั้นตั้งอยู่ที่ใดหรือส่วนไหนในนครแห่งมลทิน แต่ถ้าเขาใช้อำนาจสัพพัญญูล่ะก็เขาก็จะสามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน

 

เมื่อพูดออกมาเช่นนั้นดวงเนตรของกรีชาก็ค่อย ๆ เรืองแสงสีทองอร่ามเรืองรองขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นอายอันล้ำลึกของพระเจ้า

 

ไคลน์มองกรีชาที่กำลังเชื่อมโยงกับทะเลแห่งความโกลาหลด้วยสายตาอ่อนลง และเฝ้ารออย่างอดทน

 

ไม่นานดวงตาของกรีชาก็กลับมาสู่สภาวะปกติและกลิ่นอายของพระเจ้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไป แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปไคลน์ก็กล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า

 

“ความเสถียรภาพยังอยู่ดีใช่ไหม?”คำพูดดังกล่าวของไคลน์บวกกับสีหน้าที่ห่วงใยและเป็นกังวลของเขาทำให้หัวใจของกรีชาเต้นระรัวเช่นเดียวกันกับความรู้สึกที่เพิ่มพูนขึ้นภายในใจอย่างเงียบ ๆ

 

เทพสุริยันผู้ยิ่งใหญ่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วกล่าวตอบคนตรงหน้าไปตรง ๆ อย่างจริงใจว่า

 

“ความเสถียรภาพนั้นยังคงดีมาก”คำตอบของเขาทำให้ไคลน์ถอนหายใจออกมา

 

“ดีแล้ว.... และตอนนี้คุณรู้หรือยังว่าคลังสมบัตินั่นตั้งอยู่ที่ไหน? ฉันไม่อยากจะอยู่ในที่นี่นานนักน่ะ”ไคลน์กล่าวขณะที่สอดส่ายสายตาไปยังบริเวณรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

 

ถึงแม้จะยังคงอยู่ภายในความลับที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของเขาเองผนวกกับพรจากปราสาทต้นกำเนิดก็เถอะ แต่เขาไม่ค่อยชอบใจนักที่จะต้องอยู่ภายในอาณาเขตของเทพภายนอกสุดอันตรายแบบนี้ในฐานะลำดับ 1 ที่ยังไม่ได้ปรองดองกับเอกลักษณ์

 

“ฉันรู้แล้ว... ตามฉันมา”น้ำเสียงของกรีชายังคงสงบอยู่ ชายที่โตกว่าพยักหน้าให้กับไคลน์แล้วเดินไปข้างหน้าตามทิศทิศหนึ่งและไคลน์ก็ตามไปอย่างว่าง่าย

 

แต่พอเดินไปถึงจุดหนึ่งคนตัวโตกว่าก็หยุดชะงักลงจนไคลน์ที่เดินตามหลังมาแทบจะเดินชนแผ่นหลังกว้างนั้นก็หยุดตัวเองไว้ไม่อยู่เช่นกัน

 

“มีอะไรเหรอ?”ไคลน์ถามด้วยความสงสัย

 

กรีชาค่อย ๆ หันศีรษะกลับมาหาไคลน์อย่างช้า ๆ แล้วกล่าวเสียงเบาหวิวว่า

 

“ดูเหมือนการปล้นคลังสมบัติของเราครั้งนี้จะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นนะ”กรีชากล่าวด้วยรอยยิ้มขี้เล่นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหลบไปอยู่ด้านข้างและเปิดทางข้างหน้าให้ไคลน์ได้เห็น

 

ข้างหน้าของพวกเขาคือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาทบางอย่างทว่าด้วยหมอกสีเหลืองนั้นทำให้ภาพของปราสาทดูไม่ชัดเจนนัก

 

และมีบางสิ่งยืนอยู่หน้าปราสาทนั้น ไม่สิ ควรจะบอกว่าเป็นสิ่งกลายพันธุ์บางอย่างดีกว่า

 

และนั่นคือผู้พิทักษ์คลังสมบัตินี้

 

เพราะแม้ว่าควาสตีร์จะร่วงหล่นไปแล้วก็ตามแต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์ไปแล้วทั้งหมดในนครแห่งมลทินนี้ไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย นั่นเพราะการดำรงอยู่ระดับสูงกว่าอย่างมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายที่ยังส่งอิทธิพลมายังสถานที่แห่งนี้อยู่ยังไงล่ะ

 

และเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ไคลน์ก็ลืมไปเลยว่าหลังจากควาสตีร์ร่วงหล่นลง โทลซนาเทพแห่งสิ่งมีชิวิตทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเทพในเครือของควาสตีร์นั้นเป็นผู้เก็บนำเอาตะกอนพลังลำดับ 1 ความน่ารังเกียจ ทั้ง 3 และความเป็นเอกลักษณ์ไปในช่วงเวลาชุลมุน

 

และแน่นอนว่าไคลน์สังเกตเห็นสิ่งนี้แต่ก็ไม่ได้ห้ามหรือตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะในอนาคตจะต้องมีเทพผู้ถูกล่ามโซ่ปรากฏขึ้น เช่นนั้นจึงจะปรากฏองค์กรลับอย่างโรงเรียนกุหลาบแห่งความคิดขึ้นเช่นกัน

 

“นั่นคือหายนะบรรพกาลลำดับ 2 จากเส้นทางผู้ถูกล่าม และน่าจะได้รับพรจาก‘พระองค์’ด้วย”คำพูดของกรีชาดังก้องอยู่ภายในหูของไคลน์

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระองค์นั่นที่กรีชาหมายถึงคือใคร มันคือมารดาพฤกษาแห่งแรงปรารถนาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

“คุณหรือฉัน?”น้ำเสียงของไคลน์ยังคงสงบ

 

“ฉันเอง...”กรีชาตอบกลับอย่างใจเย็น

 

จากนั้นร่างกายของเขาก็ระเบิดแสงสีทองสว่างไสวออกมาในทันทีและในขณะเดียวกันนั้นเองไคลน์ก็ขยายอาณาจักรแห่งความลับของเขาออกไปจนครอบคลุมบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดแล้ว

 

ในทันทีที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างหายนะบรรพกาลสัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่ต่อต้านได้ มันก็คลั่งขึ้นมาและสร้างการปนเปื้อนมหาศาลออกมาในทันที

 

แต่นั่นก็ไม่ทันแล้ว

 

เพราะในพริบตาเดียวหลังจากที่ไคลน์ปกปิดสถานที่ทั้งหมดเอาไว้ กรีชาก็ลงมือแล้ว

 

แทง!

 

หอกยาวขนาดใหญ่ที่ก่อร่างขึ้นจากแสงบริสุทธิ์แทงทะลุร่างของหายนะบรรพกาลอย่างรวดเร็วและรุนแรง แสงสว่างสีทองสาดส่องเจิดจรัสไปทั่วบริเวณและหมอกสีเหลืองก็เลือนหายไปในทันที

 

ร่างของหายนะบรรพกาลสั่นกระตุกขณะเดียวกันผิวหนังของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ของมันก็เริ่มมอดไหม้ไปด้วยความร้อนบริสุทธิ์

 

ในพริบตาเดียวเทพสุริยันก็สามารถจบชีวิตของลำดับ 2 หายนะบรรพกาลได้อย่างง่ายดาย ภายใต้การปกปิดของอาณาจักรแห่งความลับของไคลน์

 

ร่างของหายนะบรรพกาลก็เลือนสลายและมอดไหม้ไปหลงเหลือไว้เพียงตะกอนพลังที่แสดงกลิ่นอายของมลพิษระดับสูงออกมาเท่านั้น

 

“ของคุณ”กรีชาหันหน้าไปหาไคลน์แล้วกล่าว

 

ไคลน์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอยู่ดี เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับตะกอนพลังลำดับ 2 หายนะบรรพกาลที่ถูกทิ้งไว้

 

และอย่างเช่นเคยเขาโยนมันเข้าไปไว้ในกองขยะบนปราสาทต้นกำเนิดซึ่งกลายเป็นคลังเก็บของชั้นดีที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ และยังมีฟังก์ชั่นชำระล้างและปราบปรามมลทินอีก

 

จะมีที่ไหนจะดีไปกว่านี้ในการเก็บของปนเปื้อนจากเทพภายนอกอย่างปราสาทต้นกำเนิดอีกล่ะ?

 

ระหว่างที่ไคลน์เก็บของที่ได้รับจากการต่อสู้ กรีชาก็เดินเข้าไปเปิดประตูของคลังสมบัติเข้าแล้ว

 

ประตูของปราสาทหินขนาดใหญ่เปิดออกด้วยพลังของกรีชาและเสียงอันดังสนั่นทว่าไม่มีสิ่งใดรับรู้

 

กรีชาหันหน้ามาหาไคลน์และแสดงรอยยิ้มอันคุ้นเคยพร้อมกับกล่าวว่า

 

“เชิญ...”

 

 

Notes:

ผมสับสนเล็กน้อยและได้อัพเดตบทนี้ลงบนเรื่องก่อนหน้า

ตอนนี้มันได้รับการแก้ไขแล้ว

ขอบคุณ~

Chapter 9: ความเป็นเอกลักษณ์ของนักบวชสีชาด

Summary:

ไคลน์และกรีชาเก็บเกี่ยวกำไรจากคลังสมบัติของเทพโบราณที่ร่วงหล่น

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

เข้ามาภายในปราสาทหินขนาดใหญ่ภาพที่ไคลน์ได้เห็นก็แทบไม่ต่างจากที่ตัวเขาได้จินตนาการไว้เลย เพราะควาสตีร์ไม่ใช่มนุษย์และไม่มีความเป็นมนุษย์ฉะนั้นแล้วคลังสมบัติของเทพโบราณสุดบ้าคลั่งอย่างเขาย่อมไม่ใช่กองเงินกองทอง เครื่องประดับและอัญมณีล้ำค่าแน่นอน

 

มีเพียงเศษซากของเนื้อและเลือด ก้อนอวัยวะกระจัดกระจายและถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเหลืองรวมถึงการปนเปื้อนในสิ่งเหล่านั้นในระดับลึกล้ำ

 

นี่คือคลังสมบัติของเทพโบราณ.... กองภูเขาของตะกอนพลังลำดับต่ำ-สูง สิ่งประดิษฐ์วิเศษมากมายและวัตถุวิเศษที่มีกลิ่นอายทรงพลานุภาพบางอย่าง

 

“คุ้มค่าหรือไม่?”น้ำเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ไคลน์ซึ่งตอนนี้ชะงักค้างอยู่หน้าทางเข้าได้สติ

 

ชายหนุ่มผู้เรียบร้อยในอาภรณ์คลุมสีดำสนิทที่มีแถบสีเหลืองราวกับเทพเจ้าในตำนานกรีกก็ได้แสดงสีหน้ายอมจำนนออกมา

 

“ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าฉันไม่ได้คาดหวังไว้ว่าจะได้กำไรมากมายขนาดนี้”ไคลน์แสดงรอยยิ้มอย่างจนใจขณะที่ยกมือสองข้างขึ้นมาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับตัวของเขา

 

“เช่นนั้นฉันให้คุณเก็บไปทั้งหมดเลยดีหรือไม่?”ชายรูปงามราวเทพบุตรมีสีหน้าใจเย็นและอ่อนโยนประหนึ่งพระเจ้าผู้ทรงเมตตากล่าวถามชายในชุดคลุมสีดำ-เหลืองอย่างเรียบง่ายด้วยถ้อยคำแสนอ่อนโยนราวกับรุ่งอรุณอันอบอุ่น

 

ราวกับว่าทรัพสมบัติมหาศาลและของล้ำค่ามากมายภายในปราสาทนี้ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเขา

 

ไคลน์กระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความฉงนขณะที่สงสัยว่าตนกำลังได้ยินผิดไปหรือไม่?

 

ยกให้ฉันทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?

 

เขาหันศีรษะไปหาชายร่างสูงใหญ่ที่หยุดอยู่เบื้องหลังอย่างฉับพลันด้วยแววตาสงสัยแต่ก็แฝงด้วยประกายระยิบระยับบางอย่าง

 

“เมื่อครู่ คุณพูดว่าอะไรนะ?”น้ำเสียงของเจ้าตัวฟังดูสงบเสงี่ยมเนียมอายอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่ปิดบังความต้องการที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัดเลยแม้แต่น้อย

 

กรีชามองท่าทีของไคลน์ด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่อ่อนโยน เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าวจากไคลน์ เทพบุตรรูปงามในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ก็พยักหน้าเป็นคำตอบ

 

“ฉันยกให้คุณทั้งหมดเลยถ้าต้องการ”คำตอบของเขาทำให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของไคลน์เต็มไปด้วยความสุขและความเป็นมนุษย์อย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้

 

ด้วยดวงตาเปล่งประกายวาววับ หูและหางลวงตาของแมวดำก็ปรากฏเป็นภาพซ้อนขึ้นมาในดวงตาของกรีชาที่ทอดมองไปยังไคลน์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

 

เทพสุริยันผู้ทรงพลังก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในลำคอราวกับกริยาที่มนุษย์ปกติทำเมื่อพบเรื่องตลก

 

“?”เมื่อได้ยินเสียงขำในลำคอจากชายผู้ยิ่งใหญ่ ร่างของไคลน์ที่กระโดดโลดแล่นราวกับเด็กน้อยก็พลันหยุดชะงัก

 

“แฮ่ม!”ไคลน์กระแอมไอกอบกู้สติของตัวเองที่ถูกแย่งชิงไปเพราะความโลภในสมบัติมากมาย ขณะที่ทำตัวให้สงบเสงี่ยมขึ้นมาภายใต้สายตาจับจ้องของกรีชา

 

ฉันกำลังทำตัวเหมือนยาจกที่พึ่งเคยได้รับเงินพันปอนด์เลย... น่าขายหน้าจริง ๆ ปลายหูของไคลน์แดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของเขายังถูกควบคุมอยู่ด้วยความสามารถของตัวตลก

 

นี่เป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ไคลน์อายเกินกว่าที่จะหยุดยั้งตัวเองได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าของกรีชา!

 

อีกทั้งอีกฝ่ายเป็นคนบอกว่าให้เขาเก็บสมบัติทั้งหมดเอาไว้คนเดียวโดยไม่คิดจะเก็บไปสักชิ้น มันทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีลึก ๆ ในใจของไคลน์สั่นไหว

 

เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วและกรีชาก็ไม่ได้จะแซวอะไรให้ไคลน์ได้เขินอายเพิ่มอีก บรรยากาศที่สนุกสนานตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความอบอุ่นก็บรรเทาลงเข้าสู่ความสงบและเคร่งขรึม

 

ขณะที่เริ่มเดินสำรวจจู่ ๆ ไคลน์ก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า

 

“ฉันคิดว่าฉันไม่ควรเก็บพวกมันทั้งหมดไปนะ...”ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อยขณะที่หลบสายตาจากดวงตาสีทองสว่างของกรีชา

 

รอยยิ้มของกรีชายังคงอ่อนโยน สุริยะเทพผู้ยิ่งใหญ่แย้มสรวลด้วยใจปรีดาและเอ่ยย้ำอีกรอบว่า

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้คุณคิดไว้เพียงว่าสมบัติเหล่านี้ล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนรวมของเรา...”ด้วยดวงตาเปล่งประกายขณะที่จับจ้องไปบนดวงหน้าอ่อนช้อยของเทพแห่งความลึกลับที่สวมผ้าอาภรณ์สีดำสนิทตรงหน้า กรีชากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ

 

ดีแล้ว เช่นนั้นฉันก็ไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะเก็บไว้คนเดียวแล้ว... ไคลน์พยักหน้าให้กับคำพูดนั้นก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

 

“ถ้าคุณต้องการอันไหนก็ขอให้บอกฉันนะ”ไคลน์กล่าวปิดบทสนทนาแล้วเริ่มเดินสำรวจเข้าไปภายในผ่านม่านหมอกสีเหลืองและการปนเปื้อนที่แฝงอยู่

 

กรีชามองตามแผ่นหลังของไคลน์ไปด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่ล้ำลึกซึ่งไม่ใช่ดวงตาที่สหายจะทอดมองกัน

 

เมื่อชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำแถบเหลืองเดินผ่านบริเวณทางเดินไป หมอกสีขาวอมเทาก็รั่วไหลออกมาจากใต้ผ้าคลุมอาภรณ์ดำของเขาซึ่งไร้รอยเปื่อนฝุ่นและความเสื่อมทราม ค่อย ๆ แผ่กระจายไปทั่วปราสาทภายใต้ความลับ

 

ไคลน์ปลดปล่อยกลิ่นอายของปราสาทต้นกำเนิดออกมาอย่างช้า ๆ ขณะที่สร้างการชำระล้างการปนเปื้อนของเทพภายนอกออกไปด้วยการปนเปื้อนของแก่นแท้ที่แข็งแกร่งและใกล้ชิดกว่า

 

ภายใต้ความลับของอาณาจักรแห่งความลับที่ได้รับการเสริมพรจากปราสาทต้นกำเนิด ไม่มีใครสังเกตและรับรู้เรื่องราวภายในนครแห่งมลทินได้ โดยเฉพาะเทพภายนอกอย่างมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายที่ตอนนี้แทบจะถูกตัดขาดกับโลกไปแล้ว เพราะตัวตนอย่างควาสตีร์เทพโบราณที่มีการปนเปื้อนระดับสูงได้ร่วงหล่น ตอนนี้ลำดับสูงในเส้นทางของนางแทบจะไม่หลงเหลืออยู่บนโลกเลย อิทธิพลของนางต่อโลกจึงลดลง

 

ใช้เวลาสำรวจไม่นานด้วยความสามารถในการทำนายของไคลน์ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเทพเจ้า เพียงเหลือบสายตามองเขาก็สามารถรับรู้ถึงการเปิดเผยที่ต้องการจากโลกแห่งวิญญาณได้อย่างง่ายดาย

 

ดังนั้นวัตถุวิเศษ สิ่งประดิษฐ์ต้องมนต์ขลัง รวมถึงตะกอนพลังวิเศษต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วถูกทำนายและจัดตารางรายชื่อไว้หมดแล้วเมื่อครู่

 

เมื่อไคลน์เดินกลับมาถึงจุดเดิมตรงบริเวณทางเข้าพร้อมกับกรีชาที่ตามหลังมา หมอกสีขาวอมเทาที่กระจายไปทั่วปราสาทแทนที่หมอกสีเหลืองแห่งการปนเปื้อนและเสื่อมทรามก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา

 

ริ้วคลื่นของหมอกราวกับน้ำในมหาสมุทรแผ่กระจายออกมาจากรอบ ๆ ตัวของไคลน์และกรีชาแผ่ขยายออกไปจนทั่วปราสาทหิน ภายใต้อาณาจักรแห่งความลับของไคลน์

 

ไคลน์หลับตาลงอย่างช้า ๆ ภายใต้การจ้องมองของกรีชา

 

ประตูลวงตาขนาดใหญ่ที่โบราณและเก่าแก่ก็พลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของเขา ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำแถบเหลืองก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นดินพร้อมกับสายลมโบกกระโชกแรงจนผ้าปลิวไสวอย่างต้องมนต์ขลัง

 

เอี๊ยด

 

เสียงบานประตูโบราณค่อย ๆ เลื่อนเปิดออกดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ภายในบานประตูโบราณลวงตาสีเทาที่ปรากฏรอยสลักของอักษร รูปลักษณ์ และรูนเวทมนตร์อันเป็นสัญลักษณ์ของดวงตาไร้รูม่าน นาฬิกาโบราณและประตูเรืองแสงนั้นคือห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยแสงสี

 

นั่นคือโลกแห่งวิญญาณ!

 

ทันทีที่บานประตูเบื้องหลังของไคลน์เปิดออก หมอกสีขาวอมเทาที่ลอยแผ่ปกคลุมปราสาทหินนี้อยู่ก็พลันเดือดพล่านราวกับน้ำร้อน พวกมันค่อย ๆ ลอยเข้าไปจับกับวัตถุและสิ่งต่าง ๆ ที่ไคลน์กำหนดเอาไว้อย่างรวดเร็ว

 

จากนั้นหมอกสีขาวอมเทาก็ดูดซับทุกสิ่งเข้าไปภายในพริบตาเดียวแล้วสายหมอกสีเทาก็ไหลเข้าไปในบานประตูลวงตาลึกลับที่ปรากฏนั้นในทันที

 

ราวกับกระแสน้ำไหลเชี่ยวถาโถมเข้าไปในประตูลวงตา ภายในไม่กี่วินาทีหมอกสีขาวก็หายไปจากปราสาทหินทั้งหมด ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าของซากปรักหักพังของปราสาทและสองร่างที่ยืนอยู่ข้างกัน

 

ดวงตาของไคลน์ค่อย ๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้า ๆ นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาสั่นไหวแผ่วเบาแล้วก็ค่อย ๆ ถดถอยจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน

 

บานประตูลวงตาลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ก็พลันเลือนหายไป สลายกลายเป็นม่านหมอกในอากาศก่อนที่เท้าเปลือยเปล่าของไคลน์จะสัมผัสกับพื้นดิน

 

“ได้กำไรมากจริง ๆ”ไคลน์พึมพำด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อรับรู้ได้ถึงจำนวนและปริมาณของสิ่งวิเศษทั้งหมดในคลังสมบัติของเทพโบราณนี้ที่ปราสาทต้นกำเนิดได้เก็บเข้าไป

 

“ตะกอนพลังลำดับต่ำ-สูงปริมาณมากจากเส้นทางผู้ถูกล่าม ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักเมื่อพิจารณาว่าควาสตีร์เป็นเทพโบราณจากเส้นทางใด...”ไคลน์แสดงสีหน้าครุ่นคิดเมื่อเขาเริ่มคำนวณกำไรที่ได้รับอย่างเปิดเผยต่อหน้ากรีชา

 

“ตะกอนพลังลำดับ 1 ผู้พิชิตจากเทพแห่งสงครามที่ถูกสังหารไปก่อนหน้านี้นั้นทำให้ฉันอนุมานได้ว่าควาสตีร์จะต้องมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางนักบวชสีชาดอยู่อีกแน่....”ไคลน์เงยหน้าขึ้นไปสบตากับกรีชาอย่างมีความหมาย

 

“ซึ่งมันตรงกับที่ฉันหวังเอาไว้ ที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางนักบวชสีชาดอยู่จริง”ดวงตาของไคลน์วาวโรจน์เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้มากมายในอนาคต

 

บางทีในไทม์ไลน์ก่อนกรีชาอาจจะมาที่นี่คนเดียวและได้รับความเป็นเอกลักษณ์นี้ไปรวมถึงวัตถุวิเศษอื่น ๆ และเมดิชิก็จะเป็นผู้ปรองดองกับความเป็นเอกลักษณ์นี้ในที่สุด ดวงตาของไคลน์ศูนย์เสียโฟกัสไปเล็กน้อยขณะที่หวนนึกถึงอดีต

 

“แล้วมีของล้ำค่าอื่นอีกหรือไม่?”กรีชาสังเกตเห็นไคลน์กำลังหลุดลอยออกไปอย่างชัดเจน จึงได้กล่าวขึ้นมาเพื่อเรียกสติอีกฝ่าย

 

ความลับของคุณนั้นสามารถทำให้คุณหลุดความสนใจออกจากเรื่องราวรอบตัวในปัจจุบันเลยหรือ? กรีชากล่าวในใจขณะที่ดวงตาสีทองของเขาทอแสงวาบอย่างสงสัย

 

ฉันหวังว่าคุณจะบอกมันกับฉันในสักวันหนึ่ง... แน่นอนว่าในตอนนี้กรีชาสามารถกดดันและบังคับให้ไคลน์บอกความลับที่เขามีได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพียงใช้อำนาจสัพพัญญูที่เกี่ยวข้องเล็กน้อยจากทะเลโกลาหล หรือหากความลับดังกล่าวได้รับการเสริมพลังจากการปกปิดที่แข็งแกร่งเขาก็เพียงแค่ต้องเพิ่มความเชื่อมโยงกับทะเลโกลาหลให้ลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น เพื่อเรียกใช้อำนาจในเส้นทางมังกรแห่งจินตนาการในการเจาะลึกความคิดของไคลน์

 

ทว่ากรีชาไม่ต้องการเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะสงสัยในความลับของไคลน์เป็นอย่างมากแต่เขาก็ยังคงยับยั้งชั่งใจและใช้ความเป็นมนุษย์ที่มากเพียงพอเพื่อเตือนตัวเองว่า หากต้องการให้ไคลน์ยอมรับและยอมบอกความลับนั้นกับตัวเขา มีเพียงแค่วิธีการเดียวเท่านั้นคือเขาต้องรอให้ไคลน์เป็นผู้เปิดเผยเท่านั้น

 

การบังคับไคลน์นั้นเป็นสิ่งที่กรีชาไม่ต้องการเลยแม้แต่น้อย

 

ดวงตาของกรีชาทอแสงอ่อนโยนลงขณะที่จับจ้องไปยังใบหน้าของไคลน์ที่ได้สติกลับมาแล้ว

 

ไคลน์สั่นศีรษะแผ่วเบาขณะที่หยุดหวนระลึกถึงเรื่องราวในไทม์ไลน์ก่อนแล้วเริ่มคำนวณทรัพย์สินที่ได้มาอีกรอบ

 

และเป็นอีกครั้งที่ดวงตาของไคลน์แสดงแววตาประหลาดใจออกมา

 

“ตะกอนพลังลำดับ 1 ราชาแห่งความเสื่อมทรามจากเส้นทางเหวลึก!!”จากข้อมูลที่ค้นพบนี้ทำให้ไคลน์ปะติดปะต่อรายละเอียดมากมายได้ภายในทันที

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโทลซนาเทพผู้ถูกล่ามในยุคที่ 5 ถึงไม่ใช่เทพเจ้าที่แท้จริง เพราะเขามีตะกอนพลังไม่ครบนั่นเอง ควาสตีร์ถือครองตะกอนพลังลำดับ 1 ความน่ารังเกียจเพียง 2 ตะกอนเท่านั้น และในฐานะเทพโบราณอำนาจของควาสตีร์ย่อมไม่บริสุทธิ์อยู่แล้วและเป็นไปได้ว่าพระองค์จะมีอำนาจในเส้นทางนักบวชสีชาดด้วยซ้ำและส่วนที่เหลือก็อาจจะเป็นเพราะตะกอนพลังลำดับ 1 จากเส้นทางเหวนี้

 

ในกรณีของควาสตีร์เป็นเช่นนี้และหลักฐานของตะกอนพลังที่เหลืออยู่ของเส้นทางเหวก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นแล้วฟาบัวติจึงไม่ใช่ลำดับ 0 บริสุทธิ์เช่นกัน

 

“จึงเป็นเช่นนี้”ดวงตาสีทองของกรีชาทอแสงอ่อนลงราวกับดวงอาทิตย์ยามสนธยา

 

“ก็นะ.... นอกเหนือจากความเป็นเอกลักษณ์ของนักบวชสีชาดและตะกอนพลังลำดับ 1 ราชาแห่งความเสื่อมทรามแล้ว ที่เหลือก็เป็นตะกอนพลังในเส้นทางผู้ถูกล่ามจำนวนมาก รวมถึงเส้นทางอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ที่เหลือก็ล้วนเป็นวัตถุวิเศษซึ่งหลอมรวมกับตะกอนพลัง มีผลดีและผลกระทบเชิงลบอยู่ด้วย”

 

กรีชาพยักหน้าให้กับคำอธิบายของไคลน์อย่างช้า ๆ

 

“เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของโลกภายนอก เทพโบราณและผู้ที่หวังจะมาปล้นที่นี่เหมือนเรา”ไคลน์มองซ้ายมองขวาที่ด้วยสายตาหวาดระแวงขึ้นมา

 

“เราก็กลับกันเถอะ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของไคลน์กรีชาก็แสดงรอยยิ้มออกมา

 

“ตกลง” ชายร่างสูงกว่าเอื้อมมือเข้ามาสัมผัสกับฝ่ามือของไคลน์โดยที่ไคลน์ไม่ทันตั้งตัวและเขาก็ไม่ปล่อยให้ไคลน์ได้ตั้งตัวด้วย

 

ภายในพริบตาที่กรีชากอบกุมมือของไคลน์เอาไว้ แสงสว่างวาบราวกับดวงอาทิตย์ทั้งดวงก็ปรากฏขึ้นในบริเวณนั้นแล้วหายวับไปในเสี้ยววินาที

 

จากนั้นโลกแห่งความลับที่ปกคลุมนครแห่งมลทินก็พลันล่มสลายลงอย่างเงียบงัน

Notes:

พึ่งสอบกลางภาคเสร็จ!! ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ผมอ่านอยู่นะแต่ไม่ได้ตอบไป

ขอบคุณที่ติดตามกันครับ
เจอกันตอนหน้า~

Chapter 10: โอโรโบรอส?

Summary:

ไคลน์ค้นพบกับความรู้สึกของตัวเองและสงสัยว่าจะต้องรับมือกับมันยังไง แต่ทว่ากลับมีเหตุบางอย่างขัดขวางเขาไว้ไม่ให้ครุ่นคิด มันคือการมาถึงของโอโรโบรอส!

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

แสงสว่างวาบเจิดจรัสปรากฏขึ้นภายในวิหารพระอาทิตย์ซึ่งเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเรืองรองของแสงตะวันอันบริสุทธิ์

 

ร่างสองร่างปรากฏขึ้นจากแสงวาบภายในเสี้ยวพริบตาเดียว สองร่างเกี่ยวพันกันด้วยฝ่ามือที่กอบกุมไว้อย่างน่าประหลาดใจ

 

และเมื่อไคลน์รู้สึกตัวว่ากรีชากำลังกุมมือตัวเองอยู่เขาก็แทบอยากจะสะบัดมือตัวเองออกจากการพันธนาการราวกับสัมผัสเหล็กร้อน ปลายหูขาวใต้ผ้าคลุมสีดำแดงเล็กน้อยขณะที่เขาหลุบตาลงต่ำอย่างเขินอาย

 

แต่กระนั้นแรงที่ไคลน์ใช้ในการสะบัดมือกลับไม่สามารถต่อต้านแรงของกรีชาได้เลย

 

ชายตัวสูงกว่าอมยิ้มขณะที่โน้มตัวลงไปหาชายร่างเล็กในชุดคลุมสีดำซึ่งกำลังเนียมอายอยู่

 

“ไคลน์...”เสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นที่ข้างหูของไคลน์พร้อมกับลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมาทำให้เขาจักจี้

 

“อย่าหลบเร้นฉันเลย”ถ้อยคำอันอ่อนโยนสั่นสะท้านอยู่ในโสตประสาทการรับรู้ของไคลน์ทำให้หัวใจในหน้าอกของเขาเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ใบหน้าของชายหนุ่มผู้เรียบร้อยเหมือนหนอนหนังสือใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทแถบเหลืองเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้เช่นเดียวกันกับความแดงก่ำที่บริเวณหู

 

เทพธิดา!-.... ไคลน์สบถอยู่ภายในใจอย่างร้อนรนและทำตัวไม่ถูก

 

กรีชาใช้มือของเขาสัมผัสคางของไคลน์แล้วค่อย ๆ บังคับให้ร่างที่แข็งทื่อหันหน้าขึ้นมาสบตากับตัวเขาอย่างอ่อนโยน

 

ลมหายใจอุ่น ๆ และหอบถี่แรงขึ้นของคนตัวโตกว่าเป่ารดลงมาที่แก้มและใบหน้าของไคลน์ทำให้ท้องของเขารู้สึกปั่นป่วนแปลก ๆ

 

ดวงตาสีน้ำตาลของไคลน์สั่นสะท้านและเริ่มพร่ามัว สัญลักษณ์ลึกลับของเส้นทางเดอะฟูลปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางที่ผิวหนังของเขากระพริบไปมาเช่นเดียวกันกับหมอกสีขาวอมเทาที่รั่วไหลออกมาจากผ้าคลุมของเขา

 

กรีชาไม่สนใจปรากฏการณ์เหล่านั้น เมื่อเห็นว่าไคลน์ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนแม้แต่น้อยดวงตาสีทองของเขาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความปรารถนาที่เพิ่มมากขึ้น

 

ภายในเสี้ยววินาทีผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ตัดสินใจกระทำอะไรบางอย่างที่ได้ล้ำเส้นความสัมพันธ์ของคำว่า‘สหาย’ไปเสียแล้ว

 

กรีชาโน้มศีรษะของเขาลงต่ำเข้าหาใบหน้าที่แข็งทื่ออย่างน่ารักของไคลน์

 

ริมฝีปากของเขาสัมผัสลงกับหน้าผากของไคลน์อย่างอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรัก เสียงจูบแผ่วเบาและสั้นดังขึ้นขณะที่ไคลน์สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงริมฝีปากของกรีชาที่หน้าผากของตัวเอง

 

พลันแสงสว่างสีทองอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากของไคลน์ในบริเวณที่กรีชาได้ประทับรอยจูบลงไป แสงสีทองก่อรูปเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของกรีชาในนามของพระผู้สร้างนั่นคือสัญลักษณ์ของไม้กางเขน จากนั้นร่องรอยก็ค่อย ๆ เลือนรางลงจนหายไปในผิวหนังของไคลน์ในที่สุด

 

เมื่อรอยของสัญลักษณ์หายไปกรีชาก็ถอนจูบออกและผละตัวออกมาขณะที่ยังคงสังเกตสีหน้าของไคลน์อยู่ตลอดเวลา

 

ตัวของไคลน์ร้อนผ่าวเหมือนกำลังถูกต้มจนสุก ใบหน้าของเขาแดงเรื่อไปจนถึงใบหูและดวงตาของเขาก็พร่ามัวเต็มไปด้วยความตกใจและทำตัวไม่ถูก

 

ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับหุ่นเชิดด้วยความไร้ความสามารถ

 

เขาเต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์อย่างไม่เคยมีมาก่อน ท่วมท้นราวกับมหาสมุทรอันเป็นนิรันดร์

 

และทั้งในมนุษย์และในฐานะเทพก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน!

 

บูม!!

 

ร่างมนุษย์ของไคลน์ระเบิดออกเป็นหนอนวิญญาณโปร่งแสงนับไม่ถ้วนในเวลาต่อมาภายใต้สายพระเนตรของเทพสุริยะที่แน่วแน่และเที่ยงตรงที่กำลังจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา

 

เทพธิดา...! หนอนวิญญาณโปร่งแสงนับพันกรีดร้องอยู่ภายในเป็นเสียงเดียวกัน

 

กรีชาจูบหน้าผากของฉันจริง ๆ !!

 

กรีชามองร่างมนุษย์ของไคลน์ที่ระเบิดออกเป็นหนอนแห่งวิญญาณนับไม่ถ้วนแล้วนั้นก็พลันแสดงรอยยิ้มอ่อนออกมาขณะที่ก้าวถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อย

 

เขารู้ดีว่าตอนนี้ไคลน์ไม่ได้กำลังสูญเสียการควบคุมหรือกำลังบ้าคลั่งแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขาอายเกินไปต่างหาก อายเกินกว่าที่จะแสดงรูปร่างมนุษย์ให้กรีชาได้ทอดมองได้

 

“ขอบคุณไคลน์...”กรีชากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่ดวงนัยน์สีทองของเขาส่องประกายระยิบระยับขณะที่มองกองของหนอนวิญญาณตรงหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

จากนั้นเขาก็จากไปพร้อมกับแสงสว่างวาบด้วยใจปรีดาทิ้งไคลน์ที่เขินอายสุดขั้วเอาไว้เป็นส่วนตัว และเพื่อให้ไคลน์ได้มีพื้นที่ได้ทบทวนและพิจารณาตัวเอง

 

เมื่อแสงสว่างวาบหายวับไปพร้อมกับกลิ่นอายของเทพสุริยันผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้จากไปแล้ว หนอนแห่งวิญญาณนับไม่ถ้วนก็ค่อย ๆ คลานเข้ามาหากันจนก่อเป็นร่างของมนุษย์ขนาดสมส่วนขึ้น

 

จากนั้นกองหนอนแห่งวิญญาณก็สั่นสะท้านราวกับริ้วคลื่นแล้วแปรสภาพกลายเป็นมนุษย์

 

ไคลน์ปรากฏตัวกลับมาด้วยอาภรณ์สีดำเหลือบทองที่คลุมร่างของเขาไว้เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือใบหน้าที่ยังคงแดงเรื่ออยู่เช่นเดียวกันกับใบหูของอารมณ์ที่ยากจะดับลงเมื่อครู่

 

“ขอบคุณบ้าบออะไรกันล่ะ!?”ชายหนุ่มบ่นอุบอิบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอาย

 

จากนั้นพริบตาเดียวหมอกสีขาวอมเทาก็ปรากฏขึ้นจากอากาศบาง ๆ แล้วโอบล้อมร่างของไคลน์เอาไว้แล้วเขาก็จากไป

 

ทิ้งไว้เพียงโถงอันศักดิ์สิทธิ์ของวิหารแห่งพระอาทิตย์ที่ยังคงซึ่งแสงสุริยันเจิดจรัสอย่างบริสุทธิ์และเงียบขรึมดังเดิม

 

 

 

 

 

ไคลน์ปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบเชียบบนพระราชวังโบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางม่านหมอกสีขาวอมเทาในโลกที่ไร้ขอบเขตซึ่งเต็มไปด้วยหมอกเท่านั้น แสงบริสุทธิ์เจ็ดแสงทอสว่างวาบบนพื้นขณะเดียวกันกับแสงระยิบระยับเจิดจรัสของดาราสีชาดลอยเด่นเต็มด้านบน

 

ร่างของไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ตำแหน่งของเดอะฟูลอย่างคุ้นชินขณะที่อารมณ์ของเขาเริ่มสงบลง

 

เสียงเคาะโต๊ะอย่างเป็นจังหวะดังขึ้นเมื่อไคลน์เริ่มใช้ความคิด มือของเขาจะขยับไปเคาะโต๊ะสำฤทธิ์เองโดยอัตโนมัติ

 

ท่ามกลางหมอกสีขาวอมเทาที่ลอยเอื่อยราวกับชั่วนิรันดร์ ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำสูงส่งราวกับเทพโบราณนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ท่ามกลางหมอกเหล่านั้นอยู่นาน

 

เฮ้อ...

 

สุดท้ายแล้วเสียงถอดถอนลมหายใจก็ดังไปทั่วพระราชวังโบราณท่ามกลางหมอกสีเทานี้ และไคลน์ก็เอนหลังไปพิงพนักพิงอย่างเหนื่อยล้า

 

กรีชาดูเหมือนจะ- จะชอบฉันนะ?

 

ดวงตาสีน้ำตาลของไคลน์กระพริบด้วยความรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร โดยเมื่อคิดหวนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ และหลาย ๆ เหตุการณ์ในอดีตที่มีความเกี่ยวพันกันมันก็ทำให้หัวใจของเขาคันยุบยิบ

 

มันก็ไม่ได้แย่อย่างคิดนะ...

 

ในฐานะชายตรงตลอดชีวิตทั้งในไทม์ไลน์ก่อนหน้านี้หรือในฐานะเศษเสี้ยวจากอดีตกาลอย่างโจวหมิงรุ่ย เขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ผู้ชายเลยกับผู้หญิงเขายังไม่เคยด้วยซ้ำ

 

เรียกได้ว่าประสบการณ์เรื่องคาวโลกีย์นั้นสำหรับไคลน์มีค่าเป็น 0 และในอดีตเขาก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในเรื่องนั้นด้วย เพราะภาระของเขาและความเร่งรีบของวันโลกาวินาศ

 

เขาใช้ชีวิตได้เพียง 3 ปีเท่านั้น...

 

และที่นี่ ในยุคที่ 2 อันห่างไกล ไคลน์กลับได้พบกับประสบการณ์ใหม่อันน่าตกใจและแปลกประหลาด

 

ชายหนุ่มยกมือขึ้นมากุมศีรษะไว้ข้างหนึ่งอย่างสับสน

 

แล้ว.... ฉันควรทำยังไงดีล่ะ?

 

คำถามหนึ่งลอยล่องอยู่ภายในใจของไคลน์เป็นเวลานาน และแม้กระทั่งหมอกสีขาวอมเทาก็เงียบสงัด

 

และแล้วในความเงียบงันนี้เอง ดวงประทีปของดาราสีชาดดวงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นอย่างช้า ๆ ในหมอกสีเทา

 

ริ้วคลื่นของสัญญาณเตือนแผ่กระจายไปทั่วหมอกสีเทาและไคลน์ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน

 

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกรอบแล้วละวางเรื่องของกรีชาภายในใจลง ก่อนที่จะขมวดคิ้วอย่างสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับที่มาของ‘คำสวดภาวนา’นี้

 

ในฐานะลำดับ 1 ของเส้นทางนักทำนายและสามารถเข้าถึงพลังของราชันเทวทูตที่ใกล้เคียงกับเทพที่แท้จริงได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวและเวลาพัก ไคลน์ก็ได้สร้างระบบ‘ตอบสนองต่อคำอธิษฐาน’โดยอัตโนมัติเอาไว้แล้ว

 

โดยใช้แรงงานของหนอนแห่งวิญญาณของเขานั่นแหละในการเป็นเครื่องจักรเพื่อตอบสนองต่อคำอธิษฐานของผู้ศรัทธาที่เพิ่มขึ้น จากทั้งในเขตพื้นที่มนุษย์ภายใต้การปกครองของกรีชาที่ได้เผยแผ่ศรัทธาของเทพเจ้าคู่อย่างพระผู้สร้างและเทพแห่งความลึกลับ กับเขตของมนุษย์ที่ศรัทธาในเทพธิดารัตติกาลซึ่งตอนนี้กำลังเตรียมเลื่อนขั้นเป็นลำดับ 1 และ 0 ตามลำดับ ก็มีการเผยแผ่ศรัทธาเกี่ยวกับตัวเขาเช่นกัน

 

ดังนั้นศรัทธาที่เริ่มกระจุกตัวกันมากพอจนกลายเป็นจุดยึดเหนี่ยวขนาดใหญ่แล้วนั้น ไคลน์จึงได้สร้างระบบการตอบสนองต่อคำอธิษฐานภาวนาเอาไว้แล้ว และตั้งค่าเอาไว้ว่าหากเป็นเรื่องที่เร่งด่วน เหตุจำเป็น หรือเหตุจำเพาะอื่นใด ๆ อย่างเช่นเหตุที่เกี่ยวข้องกับเส้นเวลา คำอธิษฐานใด ๆ จะไม่ส่งตรงมาถึงร่างหลักอย่างไคลน์

 

แต่ตอนนี้ดวงประทีปจากดาราสีชาดที่แสดงถึงคำสวดภาวนาที่รอการตอบสนองกลับกระตุ้นขึ้นยังร่างหลักซึ่งก็คือไคลน์ในปราสาทต้นกำเนิดตอนนี้

 

นั่นแสดงว่าคำภาวนานี้ไม่ใช่คำภาวนาธรรมดา

 

ด้วยความสงสัยและใคร่รู้ที่เพิ่มมากขึ้น ไคลน์เรียกดาราสีชาดอันเป็นตัวแทนและจุดเชื่อมโยงกับผู้สวดภาวนาลงมายังเบื้องหน้า

 

หมอกสีขาวอมเทาแผ่ออกและแสงโชติช่วงสีชาดก็กระพริบและเปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา

 

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของไคลน์ค่อย ๆ แปรสภาพกลายเป็นสีดำสนิทไร้ซึ่งแสงใดสะท้อนออกมา

 

และเขาก็มองเข้าไปในดวงประทีปแห่งคำอธิษฐานตรงหน้า

 

มุมมองของเขาก็ทะลุผ่านโลกแห่งวิญญาณและชั้นบรรยากาศลงไปอย่างเช่นที่พระเจ้าทำเมื่อสอดส่องความเป็นไปของโลกความจริง

 

ภาพของเด็กชายในชุดขาดวิ่นก็ปรากฏขึ้นในสายตาของไคลน์ในไม่ช้า

 

แต่สิ่งที่เตะตาของไคลน์มากที่สุดกลับไม่ใช่สภาพแวดล้อมของเด็กชาย แต่เป็นสีผมของอีกฝ่ายต่างหาก

 

มันเป็นสีขาวโพลน....

 

สีขาว... ดวงตาของไคลน์ก็ค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้นอย่างมีเหตุมีผล

 

โอโรโบรอส?-

Notes:

ไคลน์ยังคงอุทานในใจว่า "เทพธิดา!"

// ความรู้สึกของไคลน์และกรีชานั้นค่อนข้างสับซ้อน แต่พวกเขาจะผ่านมันไป

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะครับ

เจอกันตอนหน้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ~

Chapter 11: เบื้องหลัง

Summary:

เรื่องราวในฉากเบื้องหลัง

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

ในมุมมืดของโลกแห่งวิญญาณที่เงียบสงัดและน่าหวาดผวาท่ามกลางแสงสว่างระยิบระยับของฝุ่นละอองและเมฆหมอกประหลาดและร่างโปร่งแสงนับไม่ถ้วนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันไม่รู้จัก

 

ลึกเข้าไปในบริเวณที่ยากเข้าถึงและเร้นลับนั้นปรากฏอาณาจักรขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยร่างวิญญาณนับร้อยพันของสัตว์ในรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายกับนกฟินิกซ์ทว่ากลับมีเปลวเพลิงสีซีด

 

นี่คือยมโลก อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพของเทพโบราณอย่างเกรเกรซ ผู้ครอบครองเส้นทางมรณาลำดับ 0 และเส้นทางประตูลำดับ 1 พร้อมกับเอกลักษณ์ของทั้งสองเส้นทาง

 

นางยังเป็นเทพโบราณที่อยู่ในค่ายของ‘ผู้ไม่คล้ายมนุษย์’อีกด้วย

 

ในสุสานกลับหัว ใจกลางเมืองอันเป็นแก่นแท้และส่วนที่ลึกที่สุดนั้นมีร่างขนาดใหญ่ของนกฟินิกซ์ท่ามกลางเปลวเพลิงสีซีดลุกโชติช่วงอยู่

 

เกรเกรซ บรรพบุรุษแห่งฟินิกซ์อยู่ในสภาวะคล้ายหลับใหลทว่ากลับยังสามารถสัมผัสถึงบางสิ่งภายนอกได้ ด้วยสติปัญญากึ่งบ้าคลั่งเนื่องด้วยการครอบครองอำนาจที่ไม่ใกล้เคียงกันอย่างมรณะและประตู

 

สิ่งที่ลึกลับและแปลกประหลาด ทว่าทรงพลังและยิ่งใหญ่กว่าร่างอันตระหง่านของฟินิกซ์สีซีดคือของเหลวสีดำสนิทใต้บัลลังก์เทพขนาดใหญ่ ในส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานแห่งนี้

 

ธารน้ำสีดำสนิทเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบและการหลับใหลปรากฏอยู่ โดยมีหมอกสีขาวอมเทาลอยปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นและไม่อาจทราบถึงต้นกำเนิดของมันได้แม้แต่น้อย

 

นี่คือสาขาหนึ่งของแม่น้ำแห่งความมืดมิดชั่วนิรันดร์ซึ่งหลุดรั่วออกมาจากทวีปตะวันตก และเป็นสิ่งที่เกรเกรซใช้เพื่อสงบความบ้าคลั่งของนาง

 

ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าของเทพแห่งนกฟินิกซ์สีซีดก็พลันปรากฏบานประตูลวงตาลึกลับขึ้น จากนั้นร่างของชายผู้น่าสยดสยองก็ย่างก้าวออกมา

 

นี่ไม่ใช่ใครอื่นใด เขาคือซาลิงเกอร์ เทพมรณะผู้เป็นเทพในเครือของหมาป่าปิศาจรัตติกาลเฟรเกลียนั่นเอง

 

“ขออภัยในความหยาบคายของข้า เจ้ายมโลก”น้ำเสียงแหบของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นัยน์ตาสีซีดของเขาสั่นสะท้านอยู่ขณะที่ก้มใบหน้าต่ำลง

 

เฟรเกลีย?...”เสียงนกหวีดร้องแสบหูเปล่งออกมาจากร่างยักษ์ของบรรพบุรุษฟินิกซ์ นั่นคือคำพูดในภาษาฟินิกซ์

 

“เรียนเจ้ายมโลกที่เคารพ.... เฟรเกลีย หมาป่าปิศาจแห่งรัตติกาล-”ริมฝีปากของซาลิงเกอร์สั่นไหวด้วยดวงวิญญาณที่สั่นสะท้านจากแรงกดดันของเกรเกรซและกลิ่นอายแห่งความตายระดับเทพ

 

ซาลิงเกอร์สัมผัสได้ถึงสายพระเนตรที่จับจ้องมาของเทพโบราณได้ในทันที และด้วยธรรมชาติของเส้นทางมรณะที่ผู้อ่อนแอกว่าย่อมต้องสยบให้กับผู้แข็งแกร่ง เขาอดกลั้นความรู้สึกที่แทบจะอยากคลานลงไปอยู่กับพื้นเอาไว้แล้วกล่าวว่า

 

“เฟรเกลีย-.. ได้ร่วงหล่นลงแล้ว”

 

สิ้นคำพูดของซาลิงเกอร์ เปลวเพลิงสีซีดทั่วทั้งยมโลกก็พลันลุกโชติช่วงขึ้นราวกับได้รับเชื้อเพลิง

 

เสียงหวีดร้องของนกฟินิกซ์ดังสนั่นไปทั่วยมโลกเช่นเดียวกันกับกลิ่นอายของความตายที่เพิ่มระดับขึ้นอย่างเข้มข้น

 

เกรเกรซรู้สึกปรีดายิ่งนักกับข่าวนี้ แต่ก็มีบางสิ่งที่พระองค์สนใจเช่นกัน

 

อำนาจ?....”เสียงของนกฟินิกซ์เต็มไปด้วยความกดดันอย่างจงใจ และจุดมุ่งหมายมันก็คือซาลิงเกอร์

 

ชายผู้เซียดเซียวและน่าสยดสยองกัดฟันแน่นขณะที่ทั้งร่างของเขาทรุดตัวต่ำลงไปคุกเข่าลงอยู่บนพื้นอย่างน่าสังเวช

 

“เรียนเจ้าแห่งยมโลก!”น้ำเสียงเย็นเยือกและแห้งผากกล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยความรู้สึกกดดัน

 

“อำนาจของเฟรเกลียหายไป... เทพีแห่งความโชคร้ายอามานิสเป็นผู้นำอำนาจเหล่านั้นไป!”

 

แน่นอนว่าอำนาจที่เกรเกรซกล่าวถามถึงนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกเสียจากตะกอนพลังลำดับ 1 อัศวินแห่งความโชคร้ายทั้ง 3 ชุดนั้นกับความเป็นเอกลักษณ์ที่จะต้องปรากฏออกมาอย่างแน่นอนหากเฟรเกลียร่วงหล่น

 

ถึงแม้ซาลิงเกอร์จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาไปจริง ๆ ก็ตาม แต่เขาก็รีบโยนความผิดทั้งหมดนั้นไปให้กับอามานิสในทันทีเพราะความแค้นส่วนตัว และเพื่อกำจัดศัตรูที่เป็นไปได้ในอนาคต!

 

บูม!

 

สิ้นคำตอบของซาลิงเกอร์แรงกดดันของมรณะก็เพิ่มสูงขึ้นจนร่างของซาลิงเกอร์ต้องคลานลงไปกองอยู่กับพื้นในทันที เช่นเดียวกันกับร่างของเขาที่เริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว

 

ซาลิงเกอร์กรีดร้องอย่างทรมานในขณะที่ขอความเมตตาของเทพโบราณ เกรเกรซระบายความโกรธเกรี้ยวแสนบิดเบี้ยวและบ้าคลั่งจากความไม่สมปรารถนาลงใส่ซาลิงเกอร์อย่างไม่คปรานี

 

ภายใต้เปลวเพลิงสีซีดที่ไม่ลดละและความทรมานที่ไม่เลือนหายไป มีแวบหนึ่งที่ดวงหน้าอันสยดสยองของซาลิงเกอร์ยกขึ้น

 

ดวงนัยน์ตาสีซีดของเขามองทะลุผ่านเปลวเพลิงสีซีดไปสะท้อนให้เห็นร่างของฟินิกซ์อันงดงามตระการตาขนาดใหญ่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีซีดนั้น

 

มันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

 

 

 

 

 

 

ในแดนแห่งสนธยา ศาลพระราชายักษ์ที่ซึ่งแสงสนธยาจะสาดส่องอยู่ชั่วนิรันดร์

 

กองทัพยักษ์นับหมื่นได้ถอยกรูกันกลับมาแล้วพร้อมกับเทพเจ้าในเครือองค์ต่าง ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย แต่จากจำนวนของทหารยักษ์เมื่อเทียบกับก่อนออกรบและหลังออกรบนั้นแสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น

 

ในความทุกข์ยากและเสียงโอดครวญของทหารยักษ์ที่บาดเจ็บจำนวนมากและความสิ้นหวังเมื่อลมหายใจแห่งความตายคลืบคลาน

 

เบื้องหน้าศาลพระราชายักษ์อันใหญ่โตและแสงสนธยานิรันดร์ ร่างอรชรอันงดงามและอุดมสมบูรณ์ก็พลันปรากฏขึ้นจากเบื้องลึกภายใน

 

“ลูกเอ๋ย... ความยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยของพวกเจ้าจะได้รับการเยียวยา”น้ำเสียงอันอ่อนโยนราวกับมารดากำลังปลอบประโลมบุตรดังขึ้นและก้องกังวานไปทั่วบริเวณอาบชโลมจิตใจของยักษ์ทุกตนอย่างช้า ๆ

 

หญิงสาวผู้งดงามและเต็มไปด้วยพลังงานของมารดาก้าวเดินออกมาจากศาลพระราชายักษ์ด้วยใบหน้าเปี่ยมเมตตาและเศร้าโศก

 

อาภรณ์ที่ทำจากดอกไม้ของนางเบ่งบานอย่างงดงามเช่นเดียวกันกับมงกุฎดอกไม้บนศีรษะของนางที่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับ

 

บนหน้าอกอันอวบอิ่มของนางนั้นคือห่อผ้าสีขาวสะอาดที่ภายในไม่มีใครทราบเลยว่าคือสิ่งใด ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิตและความล้ำค่าของชีวิตซึ่งไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้

 

ในขณะนี้เมื่อทอดมองไปยังร่างของโอเมเบลล่าทุกสรรพสิ่งก็ราวกับโค้งคำนับให้กับผู้ให้กำเนิดของมัน ความเป็นมารดาและรัศมีแห่งความอ่อนโยนอันมหาศาลแผ่ขยายไปทั่ว

 

“การเสียสละของพวกเจ้า แม่รับรองว่ามันจะไม่สูญเปล่า”ดวงนัยน์ตาสีเขียวของนางเปล่งประกายด้วยความมหัศจรรย์ ทันใดนั้นเองแสงสีเขียวอ่อนที่เต็มไปด้วยรัศมีอันอ่อนโยน อบอุ่นและผ่อนคลายก็แผ่ออกมาจากร่างที่โอบอุ้มห่อผ้านั้น

 

พืชพรรณนานาชนิดต่างเริ่มเบ่งบานและเจริญเติบโตในอัตราที่ไม่สามารถควบคุมได้ หญ้าต้นเล็กกลับกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ในไม่กี่วินาที เช่นเดียวกันกับบาดแผลร้ายแรงที่ถูกเยียวยาได้ในชั่วพริบตา

 

ร่างกายที่เสื่อมสลายและได้รับผลกระทบอย่างยิ่งยวดจากการสืบพันธุ์และพิษก็ได้รับการชำระล้างและเยียวยาเช่นเดียวกัน

 

ในพริบตาเดียวกองทัพยักษ์ขนาดใหญ่ก็ได้รับการเยียวยาและรักษา ไม่มีใครบาดเจ็บอีกต่อไป และไม่มีสิ่งใดต้องสูญเสียอีก

 

“สรรเสริญองค์ราชินี! สรรเสริญมารดาแห่งยักษา!!”เหล่ายักษ์ต่างโห่ร้องขึ้นด้วยความรู้สึกฮึกเหิมและขอบคุณในพระกรุณาของโอเมเบลล่า เทพีแห่งการเก็บเกี่ยว ราชินีแห่งยักษา และมารดาแห่งยักษ์ทั้งปวง

 

ใบหน้าอันงดงามเปล่งประกายความเป็นมารดาของโอเมเบลล่าไม่มีริ้วคลื่นของอารมณ์ใดที่เปลี่ยนแปลงไป มันคงไว้ซึ่งความอ่อนโยนแห่งมารดาอันบริสุทธิ์ที่ซึ่งแปลกปลอมและปราศจากอารมร์ร่วม

 

ขณะเดียวกันริมฝีปากของนางก็ฉีกยิ้มออกอย่างช้า ๆ ด้วยดวงตาเปล่งประกายวาบวาม

 

ห่อผ้าสีขาวบนหน้าอกของนางสั่นไหวแผ่วเบาและให้ความรู้สึกมีชีวิต ด้วยแสงสีเขียวอ่อนที่ค่อย ๆ เลือนรางลง รอยยิ้มและใบหน้าของโอเมเบลล่านั้นดูเกินจริงยิ่งนัก

 

“ขอให้ความรุ่งโรจน์เป็นของยักษา”นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนไม่ดังมากนักทว่าทุกสรรพชีวิตในสถานที่กลับได้ยินกันถ้วนหน้า

 

“น้อมส่งองค์ราชินี”

 

จากนั้นโอเมเบลล่าก็หันหน้าเดินกลับเข้าไปในศาลพระราชายักษ์อย่างช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงเสียงโห่ร้องสรรเสริญของยักษ์นับหมื่น

 

ห่อผ้าสีขาวในอ้อมกอดบริเวณหน้าอกของนางหลุดรุ่ยออกเล็กน้อยเมื่อครู่นี้ที่นางหันหลังกลับเข้าไปในศาลพระราชายักษ์

 

แสงสนธยาสลัว ๆ ก็พลันสาดส่องกระทบลงบนผิววัตถุภายในห่อผ้านั้น

 

มันเป็นภาพของเด็กทารก...

 

เด็กทารกมนุษย์ที่ศีรษะเต็มไปด้วยเห็ดสีสันแปลกประหลาดและฝุ่นดิน บนผิวของทารกปรากฏรอยหยาบและร่อง รอยแตกแขนงแผ่ไปตามแขนและขาของเด็กทารกนั้นและมีอวัยวะเพศสืบพันธุ์ประหลาด ๆ ผุดออกมานับไม่ถ้วน

 

สีหน้าของเด็กทารกนั้นเต็มไปด้วยความทรมานไร้สิ้นสุดด้วยดวงตากลวงโบ๋และปากที่อ้าค้างไว้ ภายในเต็มไปด้วยหนอนชอนไชและสิ่งมีชีวิตนับอนันต์

 

นี่คือความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทางมารดา!

 

 

 

ใต้ห้วงมหาสมุทรเชี่ยวกราดและลึกลับ ณ วังบาดาลอันยิ่งใหญ่และงดงามของเหล่าเอลฟ์

 

“เรายินดีต้อนรับเจ้าเทพีแห่งความงดงามออร์เนีย”โคฮิเนมเดินเข้ามาหาออร์เนียที่กำลังเศร้าสร้อยอยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ

 

เทพีแห่งความงามผู้งามหมดจรดคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าร่างของโซเนียธริมเทพโบราณ ราชาแห่งเอลฟ์และโคฮิเนมราชินีแห่งภัยพิบัติก็ก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้งอย่างจนใจ

 

“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในน้ำพระทัยของพวกท่าน...”ออร์เนียกล่าวด้วยน้ำเสียงยำเกรงและสั่นเครือเล็กน้อย ภายในใจของนางกำลังพร่ำรำพึงถึงบรรพบุรุษผู้ที่ร่วงหล่นไปแล้วอยู่

 

‘ข้าแต่บรรพบุรุษ... ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว’ออร์เนียทอดมองมือของนางที่ถูกจับไว้โดยโคฮิเนมและพยุงให้นางลุกขึ้นยืนอย่างพร่ามัว

 

‘หากไม่หลบซ่อนในพระบารมีของราชันและราชินีเอลฟ์... ข้าแต่บรรพบุรุษ ข้าเกรงว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราก็คงจะไม่มีใครเหลือรอด’

 

‘ข้าขออภัยท่านบรรพบุรุษ.... ข้าไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อท่านได้อีกแล้ว’

 

 

 

 

 

“เฮ้อ...”หญิงสาวผู้งดงามถอดถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ขณะที่นางกำลังนั่งอยู่บนบันไดทางเข้าของวิหารแห่งความสงบและเอนศีรษะพิงเสาหินอ่อนอยู่อย่างเศร้าสร้อย

 

“คุณพร้อมแล้วหรือยัง?”นักมายากลพเนจรในชุดคลุมสีเทาหม่นปรากฏขึ้นจากภายในวิหารได้อย่างเงียบงันจนน่าสงสัย

 

หญิงสาวผู้มีผมสีน้ำตาลอมยิ้มเล็กน้อย ลุกขึ้นแล้วหันศีรษะกลับเข้าไปเพื่อทอดมองนักมายากลพเนจร

 

“ฉันรอเวลานี้มานาน ถ้าไม่พร้อมก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้ว”หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

 

“นั่นสินะ”รอยยิ้มของนักมายากลพเนจรก็กว้างขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นชายในชุดสีเทาหม่นก็หยิบขวดแก้วใสที่ภายในบรรจุของเหลวสีเขียวหลายเฉดออกมา

 

ฟองอากาศใสระเบิดอยู่ภายในขวดแก้วนั้นเช่นเดียวกันกับของเหลวสีเขียวที่ดูลึกลับและต้องมนต์ขลัง ซึ่งมีอยู่หลายเฉดสีและเต็มไปด้วยรายละเอียดของใบไม้และต้นหญ้า

 

หญิงสาวรับขวดแก้วจากชายหนุ่มไปแล้วกระดกเข้าปากอย่างไม่ลังเล

 

ดวงตาของนางเปล่งประกายสีเขียวอร่ามระยิบระยับด้วยกลุ่มแสงสีทอง!

 

 

 

บนบัลลังก์แห่งชีวิตในสภาแห่งแสงสนธยาที่ตั้งอยู่นอกเหนือจากโลกทั้ง 3 ที่ซึ่งเต็มไปด้วยภาพสะท้อนและสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งจักรวาล

 

ท่ามกลางบัลลังก์แห่งทวยเทพอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าแห่งความลับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และอนธการนิรันดร์ บัลลังก์สีเขียวที่ห่อเหี่ยวและอ่อนแรงที่ถูกสร้างขึ้นจากดอกไม้และพืชพรรณก็ค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองเขียว

 

ดอกไม้ก็ค่อย ๆ บานออกและบัลลังก์ก็ราวกับถูกเติมเต็มด้วยพลังอีกครั้ง แต่ก็ยังอ่อนด้อยอยู่มากเมื่อเปรียบเทียบกับบัลลังก์อื่น ๆ รอบ ๆ

 

จุดแสงสีเขียวปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านหลังพนักพิงของบัลลังก์นั้น และมันยังแสดงให้เห็นถึงจุดแสงที่ดับสนิทอีก 9 จุดที่ยังไม่สว่างอยู่ด้วย!

 

 

 

 

 

ในวิหารแห่งพระอาทิตย์ที่เงียบสงบและศักดิ์สิทธิ์

 

กรีชาทอดมองลงบนแผ่นรายละเอียดวิจัยที่ถืออยู่ด้วยสายตาครุ่นคิด ขณะที่ศีรษะของเขาแผ่รัศมีออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับเทพเจ้า

 

เบื้องหน้าของเขาคือแท่นหินสะอาดที่มีร่างกายหนึ่งของมนุษย์นอนเหยียดอยู่ จากสรีระร่างกายและอวัยวะที่เด่นชัดที่สุดแล้วทำให้สรุปได้ว่าเป็นสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เพศชาย และมีเส้นผมสีดำสนิท

 

ดวงตาสีทองของกรีชาสว่างวาบอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ หรี่ลง

 

จากนั้นเขาก็กากาบาทลงไปบนช่องที่เหลืออยู่ในเอกสารนั้นทันที

 

[ X ] สติปัญญาและจิตสำนึกที่แยกออกจากกันโดยสมบูรณ์

 

ทันใดนั้นเปลือกตาของชายที่นอนเหยียดอยู่บนแท่นหินก็ขยับ และก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น

 

ดวงนัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเปล่งประกายอย่างไร้เดียงสา สับสนและงุนงง

 

กรีชาแสดงรอยยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ ขณะที่เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมและศักดิ์สิทธิ์ว่า

 

ข้าตรัสว่า นามของเจ้าคือ ‘ซาสเรีย’

 

ในศักราชที่ 17 xx แห่งยุคที่สอง ยุคคู่ พระเจ้าทรงสร้างเทวทูตแห่งความมืด รองเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของพระองค์เอง และได้ทรงประทานพระนามของพระองค์ไว้ว่า ซาสเรีย

 

“พระเจ้าได้ตรัสว่า นามของเจ้าคือซาสเรีย

 

Notes:

ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณที่อ่านครับ~

Chapter 12: โชคชะตา...

Summary:

ไคลน์ไปพบกับโอโรโบรอส และมอบคำสั่งให้กับเขา

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

“โอโรโบรอส?”ผ่านดวงประทีปแห่งศรัทธาสีชาดระยิบระยับ ไคลน์มองเห็นร่างของเด็กชายคนหนึ่งผู้ซึ่งมีเส้นผมสีขาวโพลนได้อย่างชัดเจน ทว่าด้วยดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนฝุ่นดินนั้นกลับขัดแย้งกับภาพจำหลักที่ไคลน์เคยเห็นในไทม์ไลน์ก่อนไม่น้อย

 

และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น และแม้ว่าหน้าตาหรือเส้นผมของเด็กชายนั้นจะแตกต่างไปจากเดิมสักแค่ไหน ทว่าไคลน์ก็มั่นใจในทันทีว่าอีกฝ่ายคือโอโรโบรอส เทวทูตแห่งโชคชะตาในอนาคตอย่างแน่นอน!

 

เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับลำดับสูงสุดแห่งเส้นทางนักทำนายและมีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับโลกแห่งวิญญาณซึ่งเป็นศูนย์รวมของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยสัญชาตญาณที่สูงมากไคลน์จึงยืนยันได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นโอโรโบรอสแน่แท้

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คิ้วของไคลน์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้สำรวจบริเวณโดยรอบ ณ สถานที่ที่โอโรโบรอสตั้งอยู่ และก็ปรากฏความใคร่รู้อย่างจดจ่ออีกด้วย

 

ดังนั้นตัวเขาจึงเริ่มสดับฟังคำภาวนาของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

 

“เทพแห่งความเร้นลับ

, รอยประทับแห่งกาลเวลา ดวงประทีปแห่งชะตา

, ผู้ปกครองเหนือโลกแห่งวิญญาณ”

 

น้ำเสียงใสกังวานที่ประกอบด้วยความสงบนิ่งและห่างเหินดังแว่วออกมาจากดวงประทีปสีชาดนั้นเป็นภาษาเอลฟ์ตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของไคลน์โดยตรง

 

“โชคชะตากระซิบบอกกับข้าว่าข้าควรจะสวดภาวนาถึงท่าน...”

 

ภาพของเด็กน้อยที่ปรากฏในดวงประทีปแห่งคำภาวนานั้นดูสับสนเล็กน้อยขณะที่กอบกุมมือไว้บนหน้าผากแต่เนตรกับว่างเปล่า

 

โชคชะตา... ไคลน์กระซิบอยู่ในใจด้วยความรู้สึกท่วมท้นและสงสัย

 

“ข้าหวังว่าท่านจะสดับฟังคำภาวนาของข้าท่านผู้เป็นดวงประทีปแห่งชะตา ข้าเฝ้ารอการคำพยากรณ์จากท่าน”

 

จากนั้นเด็กชายก็หยุดภาวนาขณะที่ก้มหน้าลงและนั่งอยู่ในท่าภาวนาเช่นนั้นเพื่อเฝ้ารอดังคำกล่าวของเจ้าตัว

 

ฉันสงสัยจริง ๆ ว่ามีบุคลาธิษฐานใดอยู่หลังคำว่าโชคชะตาหรือไม่... หรือเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ ในฐานะลำดับ 1 ไคลน์ยังไม่ได้รับความรู้ที่จำเป็นพอจริง ๆ สำหรับประวัติศาสตร์เทพเจ้าหรือเรื่องอื่นใดที่เหนือกว่านั้น

 

และในยุคนี้ที่อารยธรรมของมนุษย์ยังดูมืดมน ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตทรงสติปัญญาและพลังอำนาจอื่น ๆ บนโลกที่ยังคงโกลาหลและสับสน เป็นช่วงเวลาที่เส้นทางและลำดับยังไม่ถูกเปิดเผยโดยสมบูรณ์ อีกทั้งความรู้และข้อมูลหลาย ๆ อย่างก็ยังไม่ถูกค้นพบด้วยซ้ำ

 

เฮ้อ.. ไคลน์ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็แผ่จิตวิญญาณเล็กน้อยเข้าไปในดวงประทีปแห่งศรัทธาสีชาดที่อยู่ตรงหน้าเพื่อตอบสนองต่อคำภาวนานั้น

 

“ข้ารู้”

 

จากนั้นร่างของเขาท่ามกลางม่านหมอกก็ราวกับถูกปกคลุมจนเลือนหายไปด้วยแสงสีชาดจาง ๆ ทิ้งไว้เพียงปราสาทโบราณหลังใหญ่กับโลกที่เต็มไปด้วยหมอกไร้สิ้นสุด โถงประชุมขนาดใหญ่ ดวงประทีปสีชาดลอยเด่น โต๊ะสัมฤทธิ์ยาวและเก้าอี้ทั้ง 22 อันว่างเปล่านี้อย่างเดียวดายเท่านั้น

 

 

 

 

 

อาณาจักรเงินพิสุทธิ์

 

ในบ้านร้างแถบชายแดนของอาณาจักรเงินพิสุทธิ์ที่ซึ่งเด็กชายผมขาวกำลังคุกเข่าอยู่ในท่าสวดภาวนาบนพื้นอย่างเงียบเชียบ และป่าไพรอันรกร้างและหนาทึบ

 

หลังจากที่เด็กชายได้ยินเสียงตอบรับคำภาวนาของตนอย่างต้องมนต์ขลังรวมถึงภาพอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ทั้งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เห็นเพียงชั่วขณะหนึ่งผ่านม่านหมอกหนาทึบนั้นทำให้เด็กชายรู้สึกหวั่นเกรงนัก

 

ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของความเป็นเทพจากร่างลึกลับท่ามหมอกขาวนั้นทำให้ความเป็นเทพของเด็กชายรู้สึกกดดันและเกรงขามยิ่ง รวมถึงสัญชาตญาณของโชคชะตาที่แทบหยุดนิ่งเมื่อได้รับการจดจ้องมองมาจากอีกฝ่าย

 

ไม่ทันที่เด็กชายจะฟื้นตัวจากความตื่นตระหนกเมื่อครู่ หมอกสีขาวอมเทาก็รั่วไหลออกมาจากอากาศและแล้วร่างลวงตาพร่ามัวของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นจากอวกาศที่บิดเบี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีระยิบระยับและพื้นหลังสีดำผสมกับหมอกฝุ่นหลากสี

 

ไคลน์ปรากฏตัวต่อหน้าของเด็กชายด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิทซึ่งเป็นผ้าคลุมที่เรียบง่าย สวมทับทั้งร่างกายราวกับนักบวชรวมถึงนำผ้ามาคลุมศีรษะเอาไว้ด้วยอย่างแนบสนิท

 

ร่างของเขาลอยลงมาอย่างแผ่วเบาและย่างเท้าเปล่าเปลือยลงบนพื้นหินของบ้านร้างหลังนี้ พร้อมกับหมอกสีขาวอมเทาที่แผ่ปกคลุมรอบ ๆ ร่างของเขาอย่างหนาแน่น

 

เด็กชายผมสีขาวสัมผัสถึงแรงกดดันได้อย่างชัดเจนจากร่างตรงหน้า และสัญญาณจากโชคชะตาที่เตือนให้เขาห้ามเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด

 

“บอกข้าสิ... เจ้ามีนามว่าอะไร”ไคลน์ไม่ได้ถามจุดประสงค์ที่เด็กชายต้องมาสวดภาวนาถึงตัวเขา เมื่อเด็กชายผมขาวบอกว่าโชคชะตาเป็นผู้บอกให้เขาสวดภาวนา นั่นก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และแผนการต่อจากนั้นก็ล้วนแล้วแต่ให้เขาเป็นผู้กำหนดเท่านั้น

 

“ข้า...”ดวงตาไร้อารมณ์ของเด็กชายปรากฏร่องรอยของความสับสนเล็กน้อย แต่แล้วก็พร่ามัวและจางหายไปอีกครั้ง

 

“ข้าจำมันไม่ได้อีกแล้วฝ่าบาท”เด็กชายผมขาวตอบกลับไปอย่างซื่อสัตย์

 

เขาเป็นนักท่องกลียุคอยู่แล้วในตอนนี้ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์เพียงน้อยนิดนั้นมันน่าอัศจรรย์มากที่เขาไม่บ้าคลั่งและยังคงสภาพของมนุษย์มาได้จนถึงขนาดนี้ ไคลน์ทอดมองร่างของโอโรโบรอสตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ

 

“อดีตของคุณเป็นอย่างไร?”แม้ไคลน์จะสามารถรับรู้ทุกเหตุการณ์ได้จากโลกแห่งวิญญาณก็ตาม แต่เขาก็ยังคงรักษาความอยากรู้อยากเห็นแบบมนุษย์เอาไว้

 

ถ้าคุณรู้ทุกอย่างอยู่แล้วมันจะไม่น่าเบื่อหรือ?

 

“เรียนฝ่าบาทพระผู้เป็นดวงประทีปแห่งชะตาที่เคารพ ครั้งหนึ่งข้าเคยพบกับเทพแห่งโชคลาภใต้บัลลังก์ของราชันเอลฟ์ผู้ยิ่งใหญ่องค์นั้นเข้า และได้ติดตามพระองค์ท่านชั่วระยะหนึ่ง”เด็กชายตอบตามความจริงโดยยังก้มหน้าอยู่

 

“ครั้งหนึ่งเทพแห่งโชคลาภกล่าวว่าข้ามีพรสวรรค์และยังโชคดีพระองค์นั้นจึงรับข้าให้เป็นผู้ติดตามของพระองค์ และพระองค์กล่าวว่าด้วยโชคลาภของข้ามันทำให้ข้าแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป”

 

“วันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่กี่วันก่อนที่แสงสว่างจะมาเยือนโลกอันมืดมนนี้ เทพแห่งโชคลาภนำบางสิ่งมาให้ข้า... มันเป็นก้อนพลังสีขาวขุ่นมัว พระองค์นั้นบอกให้ข้าถือมันไว้และข้าก็เชื่อฟัง ทว่าพอข้าสัมผัสเข้ากับมันมันก็ได้รวมเข้ากับตัวข้าแล้ว”

 

“และข้าก็หมดสติไป 3 วัน ตลอด 3 วันนั้นข้าจำอะไรไม่ได้เลยและเมื่อข้าตื่นขึ้นมาข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว... ผมสีขาวโพลนและ-”

 

“ความรู้สึกว่างเปล่า”ดวงหน้าของเด็กชายไม่แสดงออกถึงความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกันกับออร่าของร่างวิญญาณที่นิ่งงัน

 

“จากนั้นเทพแห่งโชคลาภก็กล่าวกับข้าเป็นครั้งสุดท้ายว่า ชะตากรรมของข้าไม่ได้อยู่ที่พระองค์ และพระองค์นั้นก็จากไป”

 

“ข้าเดินตามทางที่โชคชะตาเป็นผู้บอกมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่นี่ มันก็เป็นเช่นนี้แลฝ่าบาท”

 

นั่นน่าจะเป็นช่วงที่ฉันปรากฏตัวในยุคนี้พอดี.... โชคชะตา ไคลน์ถอนสายตาออกจากร่างของโอโรโบรอสอย่างช้า ๆ ขณะที่ครุ่นคิดอย่างท้อแท้อยู่ภายในใจ

 

ก่อนที่เขาจะหันกลับไปทอดมองร่างของเด็กชายที่ก้มหมอบอยู่อีกครั้งแล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมและศักดิ์สิทธิ์ว่า

 

“นับจากนี้ไปนามของเจ้าคือโอโรโบรอส”ขณะนั้นหมอกสีขาวอมเทาล้อมรอบบริเวณก็ค่อย ๆ สั่นไหวราวกับคลื่นและเดือดพล่านราวกับน้ำร้อน

 

“โอโรโบรอส นับตั้งแต่ที่เจ้าสวดภาวนาต่อข้า เจ้าคือผู้ศรัทธาของข้า...”ดวงตาสีน้ำตาลของไคลน์กลายเป็นสีดำสนิทอย่างช้า ๆ สายธารแห่งโชคชะตาก็ค่อย ๆ สั่นสะท้าน

 

แรงกดดันแผ่กระจายออกมาจากร่างของเขาทว่าไม่อาจหลุดรอดออกจากบ้านร้างหลังนี้ไปได้เพราะไคลน์ได้สร้างอาณาจักรแห่งความลับมาปกป้องที่นี่เอาไว้ก่อนแล้ว

 

“เจ้ายินดีหรือไม่?”ไคลน์มองตรงไปยังโอโรโบรอสด้วยดวงเนตรสีดำสนิท

 

“ข้ายินดี!”เด็กชายตอบกลับในทันทีโดยไม่ต้องคิด

 

ทันใดนั้นเองเส้นทางแห่งโชคชะตาที่บิดเบี้ยวและพร่าเลือนของโอโรโบรอสก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด และถึงแม้มันจะยังคงพร่าเลือนอยู่ดีก็ตามแต่ก็ยังปรากฏความเด่นชัดออกมากว่าเดิม ราวกับว่ามันถูกทำให้ชัดเจนขึ้น

 

นี่คืออิทธิพลของดวงประทีปแห่งชะตากรรม!

 

“เช่นนั้นผู้ศรัทธาของข้าเอ๋ย โอโรโบรอสข้าขอหมอบหมายภารกิจหน้าที่หนึ่งให้กับเจ้า”เสียงของไคลน์ดังกังวานอย่างสูงส่ง

 

“ผู้ศรัทธาผู้ต่ำต้อยและภักดีนี้น้อมรับคำบัญชาจากองค์พระผู้เป็นดวงประทีปแห่งชะตา”เด็กชายกล่าวตอบอย่างเคารพและนอบน้อม

 

เมื่อเห็นโอโรโบรอสพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งหมอกรอบ ๆ ไคลน์และโอโรโบรอสก็เริ่มเข้มขึ้นขณะที่พวกมันเริ่มไหลไปหมุนวนรอบตัวของโอโรโบรอสราวกับกระแสน้ำถาโถม

 

“ข้าจะส่งเจ้าให้กับเหล่ามนุษย์ซึ่งศรัทธาในตัวของข้าและเทพอีกผู้หนึ่ง... ผู้ซึ่งเป็นสหายของข้า”ไคลน์แสดงสีหน้าบิดเบี้ยวและเม้มริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อกล่าวคำว่าสหายออกมา และแน่นอนว่าเขาหมายถึงกรีชา เทพสุริยะคนนั้น

 

“ที่นั่นเจ้าจงเรียนรู้ความเป็นมนุษย์อีกครั้งเทอญ”จากนั้นหมอกสีขาวปนเทาก็ฟุ้งกระจายไปทั่วบดบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดของโอโรโบรอส ภายในพริบตาเดียวที่เสียงอันสูงศักดิ์และศักดิ์สิทธิ์ของไคลน์เลือนหายไป โอโรโบรอสก็พบว่าตัวเองถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่นแล้ว

 

“ข้าน้อบรับคำพยากรณ์...”โอโรโบรอสกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอันเยือกเย็น จากนั้นเด็กชายก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ จากพื้นดินและมองไปรอบ ๆ สถานที่ที่ตนถูกเคลื่อนย้ายมา

 

ปรากฏว่าเป็นหน้าประตูทางเข้าของนิคมมนุษย์แห่งหนึ่ง... นิคมขนาดใหญ่

 

โอโรโบรอสค่อย ๆ อ่านป้ายชื่อในภาษาเอลฟ์เหนือประตูทางเข้าเมืองภายในใจ

 

นครแห่งรุ่งอรุณ...

 

ทันใดนั้นเองสัญญาณแห่งโชคชะตาที่ตัวเขารู้สึกได้ก็ได้รับการเปลี่ยนกระแสอีกครั้งอย่างรุนแรง อีกทั้งจิตวิญญาณของเขายังร้องเตือนอย่างดังก้องอีกด้วย

 

โอโรโบรอสหลับตาลงสดับฟังเสียงแห่งโชคชะตาอย่างช้า ๆ

 

และเขาก็ได้คำตอบ มันไม่ใช่เสียงดังที่เข้าใจและมันก็ไม่สามารถสื่อสารได้ มันเป็นเพียงสัญญาณที่โชคชะตาปรากฏให้เห็นและทำให้เข้าใจได้ ท่ามกลางกระแสธารแห่งโชคชะตานับอนันต์อันโกลาหลและวุ่นวาย โอโรโบรอสก็ได้เหลือบไปเห็นเส้นทางหนึ่ง

 

เด็กชายผมขาวลืมตาขึ้นมาและหันมองไปยังด้านหลังของตัวเองอย่างช้า ๆ

 

ที่นั่นมีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเขาอยู่

 

“เฮ้! เจ้าหนู”เสียงหยาบกร้านของชายอีกคนนั้นไม่ได้ทำให้โอโรโบรอสสะทกสะท้าน เขายังจดจ้องร่างของอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ละสายตา

 

จนกระทั่งระดับความสูงของทั้งสองคนห่างกันอย่างชัดเจนและทำให้เด็กชายผมขาวต้องเงยหน้าขึ้นสูงเพื่อทอดมองคู่สนทนา

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”ชายหนุ่มวัยรุ่นกล่าวถามด้วยความไม่เกรงกลัวต่อสายตาเยือกเย็นของเด็กชายผมขาว และยังจ้องมองกลับไปอีกด้วย

 

“โอโรโบรอส...”เด็กชายผมขาวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

 

ชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาที่กระทบกับแสงแดดราวกับว่ารอคอยให้เด็กชายผมขาวกล่าวอะไรมากกว่านี้ เพราะบางสิ่งที่ชายหนุ่มสัมผัสได้จากร่างของเด็กชายผมขาวนั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็ก ๆ จะมีได้

 

มันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ปกติมากนักและศักดิ์สิทธิ์ราวกับทูตสวรรค์ แต่ความแปลกประหลาดคืออีกฝ่ายเป็นเด็กเนี้ยสิ

 

ดังนั้นชายหนุ่มจึงรอให้เด็กชายผมขาวกล่าวอธิบายอะไรเพิ่มเติมทว่ากลับมีเพียงแต่ความเงียบงันเท่านั้นที่ตามมาและชายสองคนซึ่งคนหนึ่งสูงและอีกคนเตี้ยกว่าที่กำลังจ้องมองกันเท่านั้น

 

ผ่านไปไม่นานเกินรอชายหนุ่มก็ใช้มือข้างหนึ่งเสยผมสีน้ำตาลที่มีโคนผมสีแดงเข้มราวกับเลือดขึ้นอย่างหงุดหงิด ขณะที่เอื้อมมือใหญ่กว่าและหยาบกระด้างไปสัมผัสกับแขนของเด็กชายผมขาวอย่างแผ่วเบา

 

“ตามข้ามาสิ ข้าจะพาเจ้าไปยืนยันตัวตนเอง”ชายผมสีน้ำตาล-แดงกล่าวขณะที่จูงแขนของเด็กชายผมสีขาวเดินเข้าไปในนครแห่งรุ่งอรุณนั้นอย่างรวดเร็ว

 

โอโรโบรอสมองมือของตัวเองที่ถูกจับไว้โดยชายอีกคนขณะที่ก้าวเดินตามไปด้วยสายตาบริสุทธิ์และสงบนิ่ง ก่อนที่จะยอมให้คนตัวโตกว่าลากตัวเองเข้าไปภายในนครแห่งรุ่งอรุณนั้นอย่างไม่ขัดขืน

 

กระทั่งทั้งสองร่างหายลับเข้าไปในเมืองร่างอันลึกลับและสูงส่งในผ้าคลุมสีดำแถบเหลืองก็ปรากฏขึ้นจากอากาศบาง ๆ ท่ามม่านหมอกลวงตาขณะที่ทอดมองตามสองร่างนั้นจนหายลับไป

 

“หวังว่าพวกเขาจะเข้ากันได้ดีนะ...”ไคลน์พึมพำด้วยสีหน้าอ่อนโยนและริมฝีปากที่แสดงถึงรอยยิ้มแห่งความสงบ ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากที่นั่นพร้อมกับหมอกจาง ๆ

 

กระแสแห่งโชคชะตาของโอโรโบรอสและเมดิชิก็ชัดเจนขึ้นและเริ่มเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างช้า ๆ

 

กระแสแห่งกาลเวลาก็ไหลเรื่อยต่อไป สู่อนาคตที่ไม่รู้จัก...

Notes:

*นักท่องกลียุค คือ chaoswalker

โอโรโบรอสกับเมดิชิในที่สุดก็ได้พบกันแล้ว!

ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณที่อ่าน!~

Chapter 13: งานชุมนุมที่คุ้นเคย

Summary:

สภาแห่งแสงสนธยาอีกครั้ง

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

ลึกเข้าไปในดินแดนที่ลึกลับและสลับซ้อนซึ่งถูกซ่อนเร้นจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง สถานที่ที่เต็มไปด้วยอำนาจและสัญลักษณ์แห่งจักรวาลซึ่งถูกฉายภาพออกมาด้วยการต่อกิ่ง นี่คือมิติลึกลับที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจแห่งเส้นทางประตู

 

และเป็นที่ตั้งงานชุมนุมอันยิ่งใหญ่และลึกลับที่สุดอย่างสภาแห่งแสงสนธยาอีกด้วย!

 

ในความสงบเงียบทั้งสถาน โถงประชุมอันวิจิตรงดงามก็พลันบังเกิดริ้วคลื่นสั่นไหวขึ้น บัลลังก์แห่งทวยเทพทั้ง 4 ก็พลันเปล่งแสงเรืองรองขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นร่างสูงศักดิ์ทั้ง 4 ร่างก็ได้ปรากฏขึ้น

 

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”ไคลน์กล่าวทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มขณะที่เอนหลังพิงไปกับพนักพิงอย่างผ่อนคลาย

 

“อรุณสวัสดิ์”ลิลิธและกรีชากล่าวตอบกลับไคลน์ส่วนอามานิสก็ทำเพียงพยักหน้าขณะที่เจ้าตัวยังคงความสงบเอาไว้

 

เมื่อทักทายกันเสร็จแล้วไคลน์ก็เป็นคนแรกที่กล่าวขึ้น

 

“แล้ว....”เขาประสานมือเข้าหากันด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

 

“งานของทุกคนกำลังเป็นไปอย่างเชื่องช้าใช่ไหม?”คำถามของเขานั้นเรียบง่ายแต่ได้ผลจริง เพราะสมาชิกทุกคนในสภาแห่งแสงสนธยาต่างก็มีเป้าหมายและจุดประสงค์ของตนเองกันทั้งสิ้น

 

“รากฐานของนครรัฐแห่งรุ่งอรุณกำลังพัฒนาและเป็นไปอย่างช้า ๆ เรากำลังมีการปฏิรูปการปกครองเล็กน้อย การบัญญัติกฎหมาย การเผยแผ่ศาสนาและการบูรณาการเรียนการสอน เป้าหมายของฉันคือทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาเข้าใกล้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเหมือนกับพวกเราในยุคก่อน”กรีชาพยักหน้าให้กับคำพูดของไคลน์แล้วกล่าวถึงความคืบหน้าของเป้าหมายตัวเอง

 

ขณะที่ดวงเนตรสีทองสุกสกาวยังคงจดจ้องมองไปยังไคลน์โดยไม่ละสายตา

 

ไคลน์พยักหน้าตอบรับคำกล่าวของกรีชาอย่างเข้าใจโดยพยายามทำให้ตัวเองไม่รู้สึกเขินอายอีกต่อไปและพยายามทำให้ตัวเองไม่นึกถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ในวิหารพระอาทิตย์ตอนนั้น

 

สุดท้ายฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้ทบทวนอะไรเลย... ไคลน์พึมพำภายในความคิดของตัวเองถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อารมณ์ ความรู้สึก และความปรารถนาลึก ๆ ที่เริ่มเติบโตภายในจิตใจของทั้งสองคนนั้นลึกซึ้งและลึกล้ำกว่าที่ไคลน์คิดเอาไว้มากนัก

 

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างท้อแท้ จากนั้นเขาปรับสีหน้าของตัวเองโดยเก็บซ่อนอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ภายใต้หน้ากากรอยยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า

 

“จริงสิ... ฉันยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณคุณเลยที่ยอมรับฝากโอโรโบรอสน่ะ คุณมีอะไรที่ต้องการไหม?”ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบโดยที่พยายามหลีกเลี่ยงและบ่ายเบี่ยงถึงประเด็นอันเผ็ดร้อนเมื่อตอนนั้น

 

เพราะหากกรีชากล่าวทวนขึ้นมาต่อหน้าเทพธิดาอีกสององค์ที่เป็นสมาชิกแล้วล่ะก็ คราวนี้ไคลน์คงเขินอายมากเสียจนไม่มีความกล้าอยู่สู้หน้าใครก็ตามที่ล่วงรู้อีกแล้วล่ะ

 

“นั่นเป็นเรื่องที่ฉันสมควรทำ”กรีชาแสดงรอยยิ้มอบอุ่นออกมาเมื่อเห็นสีหน้าสงบเยือกเย็นของไคลน์ และสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนถึงสภาวะทางจิตใจของไคลน์ที่กำลังปั่นป่วน

 

“และไม่ใช่สิ่งที่ทำเพราะหวังสิ่งใดตอบแทน”เขากล่าวต่อและจ้องมองกลับไปหาไคลน์ผู้ที่นั่งอยู่บัลลังก์ท่ามกลางสายหมอกหนาโดยไม่ละสายตา ดวงเนตรสีทองเปล่งประกายระยิบระยับอย่างสื่อความรู้สึกอย่างแรงกล้าและไม่ปิดบัง

 

อนึ่งกรีชาไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยเรื่องลับ ๆ ระหว่างพวกเขาออกมาในตอนนี้เพราะเขาต้องการการยอมรับจากไคลน์เสียก่อน แต่การกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็ไม่ได้ทำให้เสียหายมากหรอกใช่ไหม?

 

นั่นเอง....

 

ในช่วงเวลานี้ลิลิธและอามานิสก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาให้กันอย่างลับ ๆ กับพฤติกรรมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของเพื่อนชายทั้งสอง และถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่า โอโรโบรอส ที่ไคลน์กล่าวถึงและกรีชายอมรับคือใครก็ตามทีแต่พวกเขาก็พอจะรู้อยู่ว่าคนคนนี้เป็นคนที่ไคลน์ค่อนข้างให้ความสำคัญ

 

เจ้าบ้านี่! ใบหน้าของไคลน์เห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ขณะที่หลบสายตาที่ส่งมาจากกรีชา เขาเหลือบไปเห็นเพื่อนสาวสองคนที่กำลังส่งสายตาให้กันอย่างเข้าอกเข้าใจและยิ้มกรุ่มกริ่มขณะมองมาที่ตน ไคลน์ก็อดที่จะรู้สึกอายยิ่งกว่าเดิมไม่ได้

 

พวกคุณก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ? ท่ามกลางหมอกหนาสีขาวอมเทาใบหน้าแดงซ่านของไคลน์ทำให้ใจของกรีชารู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นอย่างยิ่งยวด ขณะเดียวกันก็ปลุกความปรารถนาที่เก็บซ่อนงำเอาไว้ขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

“แฮ่ม...”ไคลน์กระแอมไอแก้เก้อขณะที่ส่งสายตาไปหาหญิงสาวอีกสองคนที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามว่าหยุดยิ้มได้แล้ว!

 

“เข้าเรื่องกันได้แล้ว”ไคลน์เหลือบสายตามองไปยังบัลลังก์ข้าง ๆ ก็พบว่ากรีชากลับเข้าสู่สภาวะสงบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ

 

อามานิสเก็บงำรอยยิ้มลึกลับเอาไว้ใต้ม่านแห่งความลับที่ปกปิดใบหน้าของเธออยู่ และเริ่มกล่าวขึ้นว่า

 

“ฉันกำลังพยายามปรับตัวและทำความเข้าใจกับอำนาจของเส้นทางตัวเองอยู่ และเหมือนกับกรีชาผู้ศรัทธาของฉันกำลังเริ่มการเปลี่ยนแปลงภายในนครรัฐของพวกเขา”อามานิสกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบเยือกเย็น

 

“คุณเตรียมพิธีกรรมเลื่อนลำดับแล้วหรือยัง?”ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างสงสัย

 

อามานิสกระพริบตาปริบ ๆ หลังม่านแพรแห่งความลับขณะที่นางเหลือบสายตาไปมองกรีชาชั่วขณะหนึ่งแล้วค่อย ๆ หันกลับมามองไคลน์

 

ไคลน์แสดงสีหน้าว่างเปล่าเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของอามานิสกับคำถามของเขา

 

มีอะไรเกี่ยวกับกรีชาไหม? ทำไมถึงหันไปมองเขาล่ะ? ไคลน์ทวนถามตัวเองอยู่ในใจและพยายามระงับการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ให้หันหน้าไปถามกรีชาตรง ๆ

 

สุดท้ายแล้วอามานิสก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวตอบอย่างไม่ปิดบังว่า

 

“ฉันคิดว่าคุณทราบเรื่องนี้แล้วแต่เพียงลืมไปเท่านั้น... จากแผ่นศิลาเย้ยเทพที่คุณและกรีชาได้แสดงให้ฉันเห็นเมื่อตอนนั้นฉันก็พอจะคาดเดาได้เล็กน้อยแล้วว่าจะต้องเตรียมพิธีกรรมเลื่อนลำดับอย่างไรแต่...”สีหน้าของอามานิสยังคงสงบนิ่งทว่าน้ำเสียงของนางกลับแผ่วเบาลงชั่วขณะหนึ่ง

 

“ใครจะไปคิดล่ะว่าฉันจะทำพิธีกรรมเลื่อนลำดับสำเร็จไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้วางแผนหรือมีความคิดริเริ่มที่จะทำเลยน่ะ”

 

สิ่งที่ตามมาจากคำพูดดังกล่าวคือความเงียบงัน ลิลิธแสดงสีหน้าสงสัยใคร่รู้ออกมาอย่างไม่ปิดบังด้วยความเป็นมนุษย์สุดสมบูรณ์แบบ กรีชาก็มีแววตาสงสัยเช่นกันแต่ไม่นานนักเขาก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนไคลน์...

 

ไคลน์ยังคงสับสนอยู่

 

“เกิดอะไรขึ้น?”เขาถามออกไป

 

พิธีเลื่อนลำดับไปสู่ลำดับ 1 ของเส้นทางความมืด... ขณะนั้นเขาก็หวนนึกไปถึงสูตรโอสถและพิธีกรรมที่ตนเองได้อ่านจากแผ่นศิลาเย้ยเทพที่ 2 จากไทม์ไลน์ก่อนที่ตอนนั้นอดัมหรือก็คือความเป็นเทพของเทพสุริยันบรรพกาลที่อนุญาตให้เขาได้อ่าน

 

นำความหายนะไปให้กับเทวทูต อารยธรรม ดาวเคราะห์ หรือเทพเจ้าลำดับ 0 สินะ ทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาอย่างตระหนักรู้

 

“คุณคงจะจำได้แล้ว...”เมื่อเห็นสีหน้าของไคลน์ที่แสดงออกถึงความกระจ่างแจ้ง อามานิสก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างแผ่วเบากับพฤติกรรมดังกล่าวของอีกฝ่าย

 

ไคลน์ดูออกง่ายเกินไปแล้ว... รู้สึกอะไรก็แสดงมันออกมาทางสีหน้าจนหมด

 

หรือนี่คือกระบวนการรักษาความเป็นมนุษย์อย่างหนึ่งของเขากัน? คำถามนี้อามานิสก็อดไม่ได้ที่จะคิดตรึกตรองอยู่ภายในใจ ขณะที่จินตนาการถึงตนเองในลักษณะเดียวกันบ้าง

 

ดูท่าจะไม่เวิร์กนะ นางพับเก็บความคิดของตัวเองลงอย่างไม่รีรอก่อนที่จะเอ่ยขยายความให้กระจ่างแจ้ง

 

“พิธีกรรมนั้นคือการนำความหายนะไปให้กับเทวทูต อารยธรรม ดาวเคราะห์ หรือเทพเจ้าลำดับ 0 ยิ่งมีความเสี่ยงมากก็จะยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น และจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาการร่วงหล่นของเฟรเกลียอาจพูดได้ว่าฉันคือต้นเหตุหรือเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้เกิดความหายนะมหาศาลอย่างหนึ่ง”น้ำเสียงอันชวนให้เคลิ้มหลับของนางไม่เป็นปัญหาต่อผู้ฟังแต่อย่างใดขณะที่นางเริ่มเล่าต่ออย่างผ่อนคลายว่า

 

“ฉันได้ชี้นำให้เฟรเกลียออกไปตามหากลิ่นอายของปราสาทต้นกำเนิดและนั่นก็เป็นก้าวแรกสู่การร่วงหล่นของตัวเขาเอง แต่ระหว่างทางนอกจากความหายนะของเทพเจ้าแล้วฉันยังสร้างความหายนะให้กับอารยธรรมและเทวทูตอีกหลายองค์อีกด้วย โดยเฉพาะอารยธรรมของหมาป่าปิศาจที่ตอนนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วและเทวทูตภายใต้เฟรเกลียหลายองค์ที่หนีหายไป”นางเว้นช่วงไว้ขณะหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าว่า

 

“นั่นก็เป็นผลพลอยได้ที่ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดล่ะนะ...”

 

“นั่นก็ดีเลยไม่ใช่เหรอ?”ลิลิธกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าสดใสและมีไคลน์เป็นผู้สนับสนุน

 

อามานิสแสดงรอยยิ้มภายใต้ม่านแห่งความลับและพยักหน้าให้กับคนทั้งสองคนเพื่อยอมรับว่า นั่นก็เป็นเรื่องดีจริง ๆ นั่นแหละ

 

“ช่วงนี้ฉันยังไม่แนะนำให้คุณเลื่อนลำดับนะ”เมื่อสถานการณ์สงบลงกรีชาก็กล่าวขึ้นเพื่อแนะนำอามานิสอย่างตรงไปตรงมา

 

“ฉันกังวลเรื่องนั้นแหละ จึงอยากจะถามทุกคนต่อไปว่าฉันควรเลื่อนลำดับตอนไหนดี”อามานิสพยักหน้าให้กับคำแนะนำของกรีชาแล้วกล่าวถามต่อ

 

กรีชารับฟังคำถามของอามานิสด้วยสีหน้าผ่อนคลายและเริ่มกล่าวสาธยายราวกับผู้เปี่ยมความรู้ต่อไปว่า

 

“ในกรณีที่ดีที่สุดคุณสามารถเลื่อนลำดับไปยังลำดับถัดไปได้เมื่อคุณย่อยโอสถวิเศษของคุณเสร็จแล้วเท่านั้น หรือหากมีพิธีกรรมที่จำเป็นก็จำต้องประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปเสียก่อนจึงจะเลื่อนลำดับต่อไปได้ผ่านการดื่มโอสถหรือรับประทานตะกอนพลังไปตรง ๆ”

 

“แต่นั่นก็เป็นกรณีของคนธรรมดาทั่วไปหรือกึ่งเทพที่ยังไม่ใช่เทวทูต สำหรับเทวทูตที่จำเป็นต้องมีความเสถียรภาพและจุดยึดเหนี่ยวอย่างผู้ศรัทธาและความเป็นมนุษย์ คุณจะต้องทำตามวิธีข้างต้นให้สำเร็จก่อนแล้วรอถึงช่วงสภาวะที่คุณพร้อมที่สุด”

 

“เมื่อคุณมีจุดยึดเหนี่ยวที่มั่นคงพอ มีความเป็นมนุษย์ที่สมดุล และมีเสถียรภาพในการตระหนักรู้ในตนเอง เมื่อนั้นคุณจึงสามารถริเริ่มที่จะเลื่อนลำดับต่อไปได้”

 

ลิลิธและอามานิสเงียบลงไปเพื่อซึบซับความรู้และพิจารณาข้อมูลที่กรีชาให้ออกมาอย่างรอบคอบ คงมีแต่ไคลน์เท่านั้นที่ไม่ได้จริงจังมากนักกับข้อมูลเหล่านี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ตัวเขารู้อยู่แล้วจากประสบการณ์ตรงในไทม์ไลน์ก่อน

 

แต่สำหรับอามานิสและลิลิธในไทม์ไลน์นี้นั้นมันถือเป็นเรื่องใหม่มาก เพราะองค์ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับพลังวิเศษเหนือธรรมชาติ เส้นทาง และอำนาจแห่งทวยเทพยังเป็นสิ่งที่ลึกลับมากแม้แต่กับเหล่าเทพโบราณที่รู้จักแต่ใช้กำลังและคลุ้มคลั่ง

 

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ... เช่นนั้นฉันจะรอจนกว่าผู้ศรัทธาของฉันจะปฏิรูปนครรัฐให้มีเสถียรภาพมากที่สุด เมื่อจุดยึดเหนี่ยวของฉันมากพอพร้อมกับความเป็นมนุษย์และความเป็นเทพของฉันอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมและมั่นคง เมื่อความตระหนักรู้ในตัวเองของฉันไม่ผิดเพี้ยนไป”อามานิสพยักหน้าขอบคุณให้กับกรีชาอย่างจริงใจ

 

เมื่อจบคราวของอามานิสต่อไปก็คือคราวของลิลิธอย่างไม่ต้องสงสัย

 

เทพธิดาบรรพกาลผู้งดงามสดใสสมวัย อดีตบรรพบุรุษแห่งเผ่าพันธ์โลหิต เทพีแห่งความงามที่ตอนนี้ได้กลายเป็นมนุษย์แล้วนั้นตอนนี้มีสีหน้าและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นมากนัก

 

“ส่วนของฉันนั้นไม่มีอะไรมากนัก ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของทุกคนที่ทำให้ฉันได้รับโอกาส”รอยยิ้มของหญิงสาวทำให้บรรยากาศดูสดใสราวกับวสันตฤดูขึ้นมาในทันที

 

แม้จะปราศจากอำนาจและพลังของจันทราหรือเทพีแห่งความงามแล้วนั้นแต่ความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งต่อสองเส้นทางแห่งมารดาต้นกำเนิดก็ไม่อาจแยกจากลิลิธได้อีกต่อไปอย่างเห็นได้ชัด

 

“ฉันเป็นนักเพาะปลูกลำดับ 9 อยู่แล้วตอนนี้ การเลื่อนลำดับภายในเส้นทางใกล้เคียงกันไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงกับฉันจริง ๆ และตอนนี้ความเป็นมนุษย์ของฉันกำลังเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก”นางแสดงรอยยิ้มขอบคุณให้กับผู้มีส่วนร่วมทั้ง 3 ที่มีส่วนช่วยนางให้รอดพ้นจากชะตากรรมสุดอนาถอย่างการเป็นภาชนะสู่การสืบเชื้อสายแห่งทวยเทพของเทพภายนอก

 

“ตอนนี้ชีวิตของฉันกำลังดำเนินไปด้วยดีเลยล่ะ นอกเสียจากการสวมบทบาทเพื่อพยายามย่อยโอสถให้หมด ที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากเย็นเลย”

 

“ดีแล้ว”ไคลน์พยักหน้าให้กับคำพรรณนาของลิลิธถึงชีวิตของเธอในช่วงเวลาอันสงบสุขแสนสั้นในตอนนี้

 

“อย่ารีบเกินไป... เรายังเหลือเวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะถึงเวลาของคุณบนเวที”รอยยิ้มของไคลน์นั้นมั่นคงมากเพราะเขามั่นใจมากว่าการร่วงหล่นของเทพโบราณอีกหลายพระองค์เป็นระลอกสุดท้ายนั้นจะเกิดขึ้นในอีก 500 ปีไม่เกินนี้

 

สุดท้ายแล้วในฐานะผู้ครอบครองแก่นแท้ต้นกำเนิดอย่างปราสาทต้นกำเนิดและสามารถแอบอ้างเป็นดวงประทีปแห่งโชคชะตาได้นั้น เขาสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นในสายธารแห่งโชคชะตาอยู่แล้ว

 

“ฉันจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุดแน่นอน”ลิลิธกล่าวยืนยันกับไคลน์ก่อนที่นางจะเงียบลง

 

“เหลือแค่ฉันแล้วสินะ...”ไคลน์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ ก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อพักสายตาโดยไม่รีบร้อน

 

“ฉันไม่รีบร้อนที่จะเลื่อนลำดับและปรองดองกับความเป็นเอกลักษณ์ในตอนนี้หรอกนะ”สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความผ่อนคลายขึ้นเมื่อพูดถึงการเลื่อนลำดับและการปรองดองกับความเป็นเอกลักษณ์

 

นั่นเพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองมีนิ้วทองที่พิเศษกว่าใครก็ตามในตอนนี้และเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับตัวเขาเอง เขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากปฐมจิตที่รอการฟื้นตื่นของเจ้าแห่งความลึกลับคนก่อนและไม่ว่าอิทธิพลใด ๆ ก็จะไม่ส่งผลต่อเขา

 

สิ่งนี้เป็นพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับไคลน์และมันทำให้เขาผ่อนคลายจริง ๆ และผู้มอบพรนี้ให้เขานั้นก็ได้พาเขากลับมายังช่วงเวลานี้ ณ กาลเวลานี้ที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป

 

ภาระในการปกป้องโลกนี้ไม่ได้ตกอยู่บนไหล่ของเขาเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เขายังเหลือเวลาอีกหลายพันปีที่จะใช้ฟูมฟักความเป็นมนุษย์และประสบการณ์ชีวิต ไม่ใช่ประสบการณ์อันโชกโชนในการกลายเป็นเทพอย่างรวดเร็วอีกต่อไปแล้ว

 

คราวนี้เขายังสามารถรอเวลาเพื่อแก้ไขเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิตได้อีกด้วย ช่วงเวลาในทิงเก็นของเขายังไม่มาถึง และมหาภัยพิบัติมากมายในประวัติศาสตร์ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น

 

ถ้าเขาวางแผนดี ๆ เขาก็จะสามารถกอบกู้เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านั้นได้เพื่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุดและเพื่อลดผลกระทบต่อการบิดเบือนเส้นเวลา

 

“มันอาจจะดูไร้ค่าแต่ตอนนี้หน้าที่ของฉันไม่กี่อย่างก็คือการตอบรับคำอธิษฐานของผู้ศรัทธา ช่วยเหลือมนุษย์ผู้ทุกข์เข็ญก็ไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากนั่ง ๆ นอน ๆ เป็นปลาเค็มอยู่ในปราสาทต้นกำเนิด”เขาแสดงรอยยิ้มตลกขบขันเล็กน้อยกับคำพูดของตัวเอง

 

“คุณคิดเช่นนั้นกับตัวเองหรือ?”กรีชาที่รับฟังอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดคัดค้านขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

หือ? ไคลน์กระพริบตาปริบ ๆ ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองกรีชาอย่างสับสนเล็กน้อย

 

ทำไมคุณถึงเดือดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกันล่ะ? มุมปากของชายหนุ่มกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของสุริยะเทพที่แสดงออกถึงความจริงใจยามที่มองมาหาตัวเขา

 

“จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณร่างโคลนของคุณ คุณได้นำปาฏิหาริย์ที่เป็นไปไม่ได้มากมายมาสู่พวกเรา สู่มวลมนุษย์และสู่อารยธรรมที่กำลังจมหายไปในประวัติศาสตร์นี้”กรีชากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงและจริงจัง

 

.....ฉัน- ฉันทำไปมากขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ? แก้มของชายหนุ่มแดงเรื่อขึ้นมาอย่างช้า ๆ เมื่อได้ยินคำชมจากปากของกรีชา

 

และเมื่อกล่าวถึงร่างโคลนของเขา กรีชาก็คงจะหมายถึงเมอร์ลิน เฮอร์มิส นักมายากลพเนจรคนนั้นที่ทำงานล่วงเวลามาหลายเดือนแล้ว จริง ๆ แล้วไคลน์ได้แยกร่างโคลนออกมาหลายร้อยคน โดยทุกคนคือเมอร์ลิน เฮอร์มิส โดยใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิดฉายภาพพลังลำดับ 2 ให้กับทุกร่างโคลนและกระจายพวกเขาออกไปเพื่อตามหาอารยธรรมของมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ และเข้าช่วยมนุษย์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก

 

“ถ้าไม่มีคุณพวกเราคงจะไม่ได้จัดการประชุมกันที่นี่หรอก ไม่ได้วางแผนกำจัดเฟรเกลีย ช่วยเหลืออามานิสและลิลิธรวมทั้งฟาบัวติด้วย... พวกเราคงจะไม่ได้เป็นสหายกันเหมือนเช่นในตอนนี้หากไม่มีคุณ”ดวงเนตรสีทองอร่ามของกรีชาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันอ่อนโยนและอบอุ่น น้ำเสียงของเขามั่นคงและแข็งแกร่ง

 

เมื่อไคลน์บังเอิญสบสายตาเข้ากับดวงเนตรสีทองนั้นก็ราวกับความรู้สึกทั้งหมดของตัวเขาเองถูกอ่านออกหมดเปลือกโดยกรีชาแล้ว

 

ความจริงแล้ว.. ถ้าไม่มีฉันพวกคุณก็คงจะได้ร่วมมือกันเหมือนเดิม ไคลน์เม้มริมฝีปากเข้าหากันด้วยความรู้สึกเขินอายที่เพิ่มมากระทันหัน

 

“ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีพื้นฐานมาจากคุณ ไคลน์... คุณอย่าด้อยค่าตัวเองเลย”คำพูดของกรีชานั้นอ่อนโยนมากเสียจนไคลน์เริ่มรู้สึกแปลก ๆ แล้ว

 

“ใช่แล้วไคลน์ คุณคือคนสำคัญและมีส่วนช่วยที่สำคัญต่อพวกเราทั้งหมด”อามานิสและลิลิธกล่าวสนับสนุนกรีชาขึ้นมาทันควัน และแน่นอนว่าพวกเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

 

“เอ่อ... ถ้าพวกคุณพูดมาถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็นะ-”ไคลน์แสดงรอยยิ้มเขินอายขณะที่เกาแก้มของตัวเองเบา ๆ เพื่อพยายามลดอาการประหม่า

 

แม้แต่ในไทม์ไลน์ก่อนเขายังไม่เคยถูกชมจากเทพถึง 3 องค์พร้อมกันเลยนะ!

 

ขณะเดียวกันที่เขายอมรับคำชื่นชมของทุกคน จุดยึดเหนี่ยวของเขาที่มีต่อไทม์ไลน์นี้ก็ลึกซึ้งขึ้นมาในทันทีและเด่นชัดขึ้นจนแยกไม่ออกแล้ว

 

จุดยึดเหนี่ยวที่บริสุทธิ์เกิดขึ้นมาแล้วและทำให้ไคลน์รู้สึกมั่นคงขึ้นเป็นอย่างมาก เสถียรภาพนี้ตัวเขาไม่เคยบรรลุมันมาก่อนในไทม์ไลน์ก่อน

 

ไม่ใช่เพราะมีแค่ผู้ศรัทธาจำนวนมากเท่านั้น เขายังมีสหายที่รู้จักและเข้าใจตัวตนของเขาจริง ๆ อีกด้วย

 

จะเป็นไปได้ไหมนะ... ที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อฉันแบบนี้เช่นกัน ไคลน์นึกถึงชุมนุมไพ่ทาโรต์ของเขาในกาลอนาคตที่จะเกิดขึ้น เขาจิตนาการได้ถึงสีหน้าของทุกคนได้เลยล่ะว่าจะตอบสนองอย่างไรต่อเรื่องราวของเขาเหล่านี้

 

จากนั้นทั้ง 4 คนก็เริ่มกล่าวคำอำลากันเมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้แบ่งปันอีกต่อไปแล้ว และแผนการอันยิ่งใหญ่ก็ได้กลายเป็นแผนการระยะยาวที่ต้องเฝ้าคอยกันต่อไป

 

“เรามาจบการประชุมของเราวันนี้กันเถอะ”

 

Notes:

ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกำลังพัฒนาไปอย่างช้า ๆ

แผนการอันยิ่งใหญ่ต่อประวัติศาสตร์โลกในเบื้องหลังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~~~

Chapter 14: 500 ปีต่อมา

Summary:

500 ปีผ่านไปแล้ว

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

“ลอเรนซ์ ตื่นได้แล้วลูกตอนนี้เช้าแล้วนะ”เสียงอันอบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใยดังมาจากห้องครัวด้านล่างของบ้านสองชั้นหลังหนึ่งในช่วงเวลายามเช้าที่สดใส

 

“ตื่นแล้วค่ะแม่!”ไม่นานเกินรอลอเรนซ์ หญิงสาววัย 18 ปีก็รีบเร่งเดินลงมาจากห้องนอนบนบ้านชั้นสองด้วยความกระตือรือร้นและความสดใสแบบหญิงสาววัยแรกแย้ม

 

“อ้าว นี่จะไปวิหารเลยเหรอ ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอลูก?”แม่ของลอเรนซ์เป็นหญิงวัยกลางคนแต่ก็ยังดูเด็กอยู่เลย เดินออกมาจากห้องครัวด้วยความประหลาดใจและสงสัย

 

“ค่ะแม่ วันนี้คือวันของขวัญแห่งฤดูหนาวนะคะแม่ทางวิหารมีงานสำคัญให้นักบวชฝึกหัดอย่างพวกหนูทำเยอะแยะเลย”ลอเรนซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงในขณะที่เธอพยายามสวมรองเท้าสานไม้อย่างเร่งรีบ

 

เมื่อเธอสวมรองเท้าเสร็จแล้วหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวและกระโปรงสีน้ำตาลลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของเธอ พร้อมกับหันหน้ามาหาผู้ให้กำเนิดที่ยืนอยู่ด้านหลัง

 

“แม่ก็อย่าลืมมาร่วมงานที่วิหารด้วยนะคะ งานเริ่มตอนพระอาทิตย์ตกค่ะ”ลอเรนซ์กล่าวบอกผู้ให้กำเนิดของตนด้วยรอยยิ้มสดใส

 

“อย่าลืมบอกพ่อด้วยนะคะ หนูไปก่อนนะ!”ภายใต้รอยยิ้มเอ็นดูและสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของผู้เป็นแม่หญิงสาวจึงเดินออกจากบ้านไป

 

“ขอให้มีวันที่ดีนะจ๊ะลูกรัก”

 

“เทพธิดาโปรดอำนวยพร”

 

ผู้เป็นแม่กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะที่มองแผ่นหลังเล็กของลูกสาวเดินออกจากบ้านไป และเริ่มวาดสัญลักษณ์รูปดวงดาวบนหน้าอกของเธอและหลับตาลง

 

เมื่อออกมาจากบ้านแล้ว สิ่งแรกที่หญิงสาวจะให้ความสนใจไม่ใช่ใครหรือสิ่งใดที่อยู่บนท้องถนน หรือทัศนียภาพอันงดงามของเมืองในยามเช้า แต่เป็นท้องนภายามเช้าของเมืองที่มีม่านเงาบาง ๆ เคลือบอยู่ต่างหาก

 

“วันนี้ก็เป็นเช่นทุกวันสินะ”หญิงสาวพึมพำกับตัวเองด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธา ก่อนที่เธอจะวาดสัญลักษณ์รูปดวงดาวอันเป็นตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาแห่งรัตติกาลไว้บนหน้าอก

 

ส่วนเรื่องม่านเงาอันยิ่งใหญ่ที่ได้โอบล้อมทั้งเมืองเอาไว้นั้น ตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษและคณะผู้อาวุโสผู้ก่อตั้งเมืองแห่งนี้นั้นได้กล่าวเล่าเอาไว้ว่ามันคือพระพรที่เทพธิดาแห่งรัตติกาลได้ทรงประทานเอาไว้

 

เนื่องจากในอดีตกาลพวกเขาและชาวเมืองยุคแรกเริ่มเป็นเพียงทาสของสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังและบ้าคลั่งเท่านั้น และในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์เพราะในช่วงเวลานั้นยังไม่มีดวงสุริยะ มีเพียงดวงดาราพร่างฟ้าเท่านั้นที่เป็นแสงนำทาง

 

ดวงดาราทอประกายแสงลงมาบนผืนโลกอยู่ทุกขณะและได้พบเห็นชะตากรรมอันน่าสังเวชของมวลมนุษย์ เหล่าดวงดาราจึงนำความไปทูลแด่เทพีแห่งรัตติกาลผู้ที่ยังคงหลับใหลอยู่จึงเป็นเหตุให้เทพีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราตรีได้ตื่นขึ้น

 

การตื่นขึ้นของเทพธิดานั้นเกิดจากความทุกข์ยากของมวลมนุษย์ที่เหล่าดวงดารานำความไปทูลบอกพระองค์ ทว่านอกจากพระองค์จะไม่ทรงกริ้วโกรธแล้วนั้นพระองค์ยังทรงสงสารและเศร้าโศกกับชะตากรรมของมนุษย์อีกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เทพธิดาแห่งรัตติกาลได้ทรงแสดงเมตตาของพระองค์ลงมาบนโลก

 

เทวทูตแห่งปาฏิหาริย์ของพระองค์ได้มาช่วยเหล่าชาวเมืองยุคแรกเริ่มไว้แล้วได้พาพวกเขาเดินทางมายังสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ที่ซึ่งพวกเขาไม่ตกเป็นทาสของใครและไม่ต้องหวาดกลัวว่าชีวิตของตนจะถูกพรากไปเมื่อไหร่ก็ได้อีก

 

เทพีผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ทรงเมตตาช่วยมนุษย์ไว้แค่เมืองเดียวเท่านั้น ยังมีอีกหลายเมืองที่ได้รับพระเมตตาเดียวกันแลเพราะเกรงว่าเมืองทั้งหลายจะถูกค้นพบอีกครั้ง พระนางจึงได้ประทานพรเอาไว้ และพรนั้นคือปราการแห่งความลับอันปรากฏในรูปของม่านราตรีที่พร่ามัว

 

ในยามราตรีม่านราตรีนั้นจะขับเน้นแสงดาราบนท้องนภาจนเกิดประกายสวยงามในท้องนภาและแสงจันทราสีชาดในตำนานจะกลับกลายเป็นสีเงินบริสุทธิ์ซึ่งถูกเล่าขานว่าเป็นเทพีแห่งจันทราซึ่งเป็นน้องสาวของเทพีแห่งรัตติกาลที่ทรงนิทราอยู่ยังมิตื่นขึ้น

 

และม่านราตรีนั้นจะช่วยปกป้องเมืองทั้งหมดที่อยู่ภายในให้รอดพ้นจากสายพระเนตรของความชั่วร้ายและภัยอันตรายทั้งปวง

 

เป็นเวลากว่า 500 ปีแล้วที่ม่านราตรีนั้นยังคงดำรงอยู่แลจักดำรงอยู่ต่อไปตราบชั่วนิรันดร์

 

“สรรเสริญพระเมตตาของพระองค์มหาเทวี เทพีแห่งรัตติกาล”ลอเรนซ์กล่าวกระซิบเสียงเบาด้วยความศรัทธาและจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง

 

จากนั้นเธอก็ออกเดินท่องไปบนถนนทางเดินหินอ่อนที่ลาดเรียบจากบ้านของตัวเองและมุ่งตรงไปยังทิศที่วิหารแห่งดวงดาราตั้งอยู่อย่างรีบร้อน โดยที่ระหว่างทางเธอไม่พลาดที่จะกล่าวทักทายเพื่อนบ้านคนรู้จักทั้งหลายระหว่างทางด้วยรอยยิ้มประจำตัวของเธอ

 

“สวัสดีค่ะคุณย่าแอนนี่”

 

“จ้าแม่หนู”

 

ลอเรนซ์เป็นหญิงสาวอายุ 18 ปี บริบูรณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนและด้วยการประพฤติตัวและใบหน้าอันงดงามและน่ารักของเธอจึงทำให้เธอเป็นที่รักของคนในเมืองเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะรู้จักตัวเลย

 

“เจ้ามาถึงก่อนสหายของเจ้าทุกคนทุกคราเลยหนาลอเรนซ์”ที่หน้าวิหารแห่งดวงดารา นักบวชคนหนึ่งในชุดคลุมนักบวชสีดำสนิทที่ขอบตัดด้วยสีขาวบริสุทธิ์และมีลวดลายจาง ๆ ของตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพีรัตติกาลอยู่บนเสื้อ ได้กล่าวทักทายลอเรนซ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ก็ข้าตื่นเต้นนี่คะ”ลอเรนซ์ส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ให้กับนักบวชคนนั้นก่อนที่จะปรับท่าทางการเดินของเธอให้สงบเสงี่ยมขึ้น

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฯพณฯ อัครมุขนายกอัสเตรอุส”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบบเสงี่ยมขึ้นก่อนที่จะจับกระโปรงด้วยมือทั้งสองข้างแล้วย่อตัวลงพร้อมกับโค้งแผ่นหลังเล็กน้อย เป็นการทักทายและแสดงความเคารพ

 

ก่อนที่นางจะก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดหินอ่อนที่เป็นทางเข้าวิหารแห่งดวงดาราประจำเมืองนี้

 

“อรุณสวัสดิ์แม่หนู”อัครมุขนายกอัสเตรอุส หรือ อัสเตรอุส ซาเอลลัส กล่าวตอบเด็กสาวด้วยรอยยิ้มอันสงบที่ประดับอยู่บนใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้ทรงภูมิฐานและความน่าเคารพ

 

“งั้นข้าขอตัวเข้าไปรอสหายท่านอื่น ๆ ที่ห้องเรียนนะคะ”ลอเรนซ์กล่าวขณะที่เหลือบมองเข้าไปภายในวิหารแห่งดวงดาราด้วยสายตาเคารพ

 

วิหารแห่งดวงดาราซึ่งเป็นวิหารประจำเมืองเซเลสแห่งนี้นั้นทั้งตัววิหารล้วนถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงละเอียดอ่อนด้วยหินอ่อนอันล้ำค่า เสาหินอ่อนทุกต้นมีลวดลายอันวิจิตรและงดงามเป็นของตัวเอง

 

วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับบ้าน 10 หลังวางกันอย่างพอดีในกล่องสี่เหลี่ยม ซึ่งตรงกลางที่ติดกับทางเข้าด้านหน้าวิหารก็คือห้องโถงภาวนาสำหรับผู้ศรัทธาทั้งหลายของเมือง ภายในสุดของห้องโถงอันศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบคือที่ประดิษฐานตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาล นั่นคือดวงดาราแปดแฉกสีขาวนวลขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยดวงดาราสีขาวขนาดเล็ก 8 ดวงรอบ ๆ ที่ตั้งอยู่บนกำแพงหินอ่อน

 

พื้นที่ของวิหารรอบ ๆ อื่นอีกก็คือสถานที่ทำงานของนักบวช อาคารที่พัก อาคารสำหรับการเรียนการสอน และอาคารสำหรับจัดเก็บเอกสาร ซึ่งทุกอาคารก็เป็นทรงสถาปัตยกรรมแบบกอธิกต่างใหญ่โต อลังการและมีความสูงกว่าทุกอาคารในเมืองด้วย

 

ที่กล่าวว่าสถาปัตยกรรมของวิหารแห่งนี้งดงามและวิจิตรบรรจงนัก และไม่ได้ดูผิดแปลกไปจากบ้านเมืองรอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย ตามคำเล่าลือกันมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน เขาว่ากันว่าทูตสวรรค์แห่งปาฏิหาริย์เป็นผู้ดลบันดาลเมืองทั้งเมืองนี้ขึ้นจากความว่างเปล่า จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมืองทั้งเมืองจะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามและวิจิตรเช่นนี้

 

“ไม่ต้องหรอกแม่หนู...”อัครมุขนายกอัสเตรอุสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มและเปี่ยมไปด้วยความสงบเพื่อขัดขวางความตั้งใจเดิมของลอเรนซ์ที่ต้องการเข้าไปรอสหายของเธอในห้องเรียนภายในวิหาร

 

“ฯพณฯ มีอะไรให้รับใช้หรือคะ?”หญิงสาวที่กำลังก้าวเดินไปนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังกลับมาแล้วกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

 

“ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ในเมื่อเจ้ามาก่อนแล้วทำไมไม่เริ่มทำงานของตนเองก่อนใครเลยล่ะ หากทำงานเสร็จเร็วก็จักได้มีเวลาพักเร็วและสามารถเตรียมตัวสำหรับพิธีกรรมในช่วงลับสุริยันได้เร็วขึ้นเท่านั้น เจ้าต้องการไหม?”รอยยิ้มอันสุขุมของอัครมุขนายกอัสเตรอุสยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปขณะที่กล่าวอธิบายขยายความในคำพูดของตนก่อนหน้า

 

ลอเรนซ์ฟังคำกล่าวอธิบายนั้นแล้วกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความใสซื่อและความเข้าใจอันเรียบง่าย

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ค่ะ”หญิงสาวแสดงรอยยิ้มสุภาพตอบรับคำกล่าวของอัครมุขนายกผู้ทรงคุณวุฒิเบื้องหน้าของตน

 

“ดี...”อัครมุขนายกอัสเตรอุสพยักหน้า ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะเอื้อมมือออกไปในอากาศจากนั้นม้วนกระดาษหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขาจากเงามืดเพียงชั่วพริบตา

 

“นี่คืองานของเจ้าสำหรับวันนี้ รับไปสิ”ว่าแล้วก็ยื่นม้วนกระดาษนั้นให้กับลอเรนซ์

 

“ขอบคุณค่ะ”หญิงสาววัยแรกแย้มกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเอื้อมมือไปรับม้วนกระดาษมา จากนั้นนางก็แกะตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สำหรับปิดผนึกม้วนกระดาษออกแล้วคลี่แผ่นกระดาษออกมาเพื่ออ่าน

 

“ระดับภารกิจ : ระดับ 4 (ง่าย)”

“ประเภทภารกิจ : รวบรวมสิ่งของ”

“ที่มา : มหาวิหารแห่งดวงดารา เมืองเซเลส”

“จุดประสงค์ : เก็บ ดอกวานิลลาย่ำราตรี 67 ดอก , ดอกจันทราเงิน 33 ดอก , น้ำค้างบริสุทธิ์จากต้นวิลโลว์ 10 มิลลิลิตร”

 

ดอกวานิลลาย่ำราตรีส่วนมากแล้วขึ้นอยู่บริเวณเนินเขาธรรมชาติหลังเมืองนี่เอง ในตลาดคงมีพ่อค้าแม่ค้าเก็บมาขายไม่กี่สิบดอกอาจจะไม่ถึง 67 ดอก คงจะต้องออกไปเก็บเองเพิ่ม ลอเรนซ์ครุ่นคิดอยู่ภายในใจอย่างพิถีพิถัน

 

ส่วนดอกจันทราเงิน... ตามตำราเรียนมันขึ้นอยู่แถว ๆ ทะเลสาบอาร์เทสไกลจากตัวเมืองเซเลสประมาณ 2 ไมล์- ดวงตาของหญิงสาวหรี่ลงเล็กน้อยอย่างพิจารณา

 

ตามบันทึกที่นั่นตั้งอยู่นอกปราการราตรีที่คุ้มครองเมืองทั้งหมดอยู่แต่ก็ไม่เคยมีบันทึกว่าผู้คนที่ไปเที่ยมชมหรือออกผจญภัยที่นั่นเคยเจอสัตว์ร้ายอันตรายในระดับสูงกว่า 3 เลย อาจจะไม่อันตรายมาก....

 

หญิงสาวตัดสินใจ นางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้ทรงคุณวุฒิตรงหน้าแล้วกล่าวว่า

 

“ฯพณฯ อัครมุขนายกอัสเตรอุสข้ารับงานนี้ค่ะ”น้ำเสียงของนางมั่นคงแน่วแน่ไม่ลังเล และนั่นทำให้ดวงนัยน์ตาสีเทาลึกลับของอัครมุขนายกอัสเตรอุสเปล่งประกายอยู่แวบหนึ่ง

 

“ดี เช่นนั้น...”อัครมุขนายกอัสเตรอุสพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่จะหันศีรษะเข้าไปภายในวิหารแล้วกล่าวขึ้นว่า

 

เซเรฟเจ้าออกมานี่เถิด”น้ำเสียงของเขาสุขุมและสงบเสงี่ยม ไม่ใช่การตะโกนแต่อย่างใดแต่กลับสามารถดังลอดเข้าไปถึงภายในวิหารได้อย่างง่ายดาย

 

เซเรฟ? ลอเรนซ์กระพริบตาอย่างสงสัยขณะที่ทอดมองเข้าไปภายในวิหาร

 

“ครับ? ฯพณฯ อัครมุขนายก...”ร่างสูงโปร่งราว 1.9 เมตร คนหนึ่งก็ได้รีบเดินออกมา

 

ปรากฏเป็นชายคนหนึ่งในชุดรัดกล้ามเนื้อสีดำสนิทแนบผิวกาย ท่อนล่างสวมกางเกงขายาวสีดำสนิท ที่เอวมีเข็มขัดสีเงินและกระเป๋าเก็บของเล็ก ๆ รวมถึงดาบยาวที่ซ่อนอยู่ในฝักที่พาดอยู่ฝั่งเอวข้างซ้าย

 

เซเรฟ หรือ เซเรฟ ซาเอลลัส ชายหนุ่มวัย 25 ปี บุตรชายแท้ ๆ ของอัครมุขนายกอัสเตรอุส ซาเอลลัส เดินเข้ามาหาผู้เป็นบิดาด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็พลันหยุดชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างบิดาของตน

 

“ลอเรนซ์ นี่เซเรฟ บุตรชายของข้าเอง”อัครมุขนายกอัสเตรอุสแสดงรอยยิ้มสุขุมขณะที่แนะนำบุตรชายของตนให้ลอเรนซ์ได้รู้จัก

 

“อ่ะ-อา... อรุณสวัสดิ์ค่ะ”หญิงสาวพูดอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะความสับสนเฉียบพลัน นางไม่คิดว่าอัครมุขนายกอัสเตรอุสจะแนะนำนางให้ได้รู้จักกับชายตรงหน้า

 

หญิงสาวกล่าวทักทายพลางถกกระโปรงขึ้นข้าง ๆ แล้วย่อกายลงทำความเคารพอีกฝ่าย

 

“ข้าลอเรนซ์ไม่มีนามสกุล ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

 

“เช่นกันครับ”ท่าทีตะกุกตะกักของหญิงสาวทำให้เซเรฟมีท่าทางไม่ต่างกัน ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งแนบไว้ข้างกายในขณะที่อีกข้างกุมไว้ที่หน้าอกแล้วโค้งตัวลงให้กับหญิงสาวเพื่อเป็นการตอบรับการทักทายอย่างสุภาพชน

 

“รู้จักกันแล้วก็ดี ลอเรนซ์งานของเจ้าในวันนี้ข้ารู้ว่ามันอาจมีอันตรายข้าจึงจะต้องส่งผู้คุมกันสักคนไปกับเจ้า และข้าก็วางใจให้เซเรฟบุตรชายข้าเป็นคนคนนั้น”อัครมุขนายกอัสเตรอุสกล่าวอธิบายความสับสนของชายหญิงทั้งสอง

 

“อา... เป็นเช่นนั้นนี่เอง”ลอเรนซ์กล่าวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

“เซเรฟปกป้องนางไว้ให้ดี นางเป็นนักบวชฝึกหัดอันดับ 1 เชียว ห้ามให้เลือดตกยางออกเด็ดขาด.... ถึงแม้อาจจะไม่มีอันตรายใดเลยก็ตาม แต่ห้ามประมาทเป็นอันขาด”อัครมุขนายกอัสเตรอุสกล่าวกำชับบุตรชายของตนด้วยน้ำเสียงสุขุมและจริงจัง

 

“ครับ ฯพณฯ อัครมุขนายก...”เซเรฟขานรับคำสั่งขณะที่ลอบสอดแนมหญิงสาวผู้ที่ตนจะต้องปกป้องตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้นด้วยสายตายากวิเคราะห์

 

“เอาล่ะ ๆ ก่อนจะไป พวกเจ้าเข้าไปสวดภานาก่อนเถิด ส่วนเจ้าเซเรฟเจ้าไปสวมเครื่องแบบของตัวเองมาด้วยเลย แต่งกายแบบนี้ยังคิดกล้าเดินเพ่นพ่านอีกมิอายบ้างฤา?”อัครมุขนายกอัสเตรอุสกล่าว

 

พอพินิจอย่างละเอียดจริง ๆ แล้ว ตอนนี้การแต่งกายของเซเรฟค่อนข้างไม่สุภาพจริง ๆ นั่นแหละ เพราะเขาไม่สวมเสื้อตัวนอกซึ่งเป็นเครื่องแบบอย่างเป็นทางการขององค์กรอัศวินราตรีซึ่งเป็นองค์กรที่ขึ้นตรงกับศาสนาเทพีแห่งรัตติกาล

 

เซเรฟตอนนี้ที่สวมเสื้อรัดรูปสีดำเปียกเหงื่อสำหรับการฝึกซ้อมยามเช้า ความเปียกชื้นนั้นทำให้เนื้อผ้าที่แนบสนิทกับผิวอยู่แล้วยิ่งแนบเนื้อเข้าไปอีกจนทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมดเสียแล้ว ทั้งกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นลอนที่หน้าท้องรวมถึงแผ่นอกอันแข็งแกร่งสมความเป็นชาย

 

แต่โชคดีที่ลอเรนซ์แทบไม่ได้สังเกตสิ่งใดเลยเพราะความใสซื่ออยู่ชั่วขณะและความสับสนก่อนหน้านี้

 

แลเมื่อถูกผู้เป็นบิดาเอ็ดมาแบบนี้ก็พึ่งจะนึกตัวเองออกจริง ๆ ว่ามันไม่สุภาพ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายจึงดูแปลก ๆ ไปเล็กน้อยแต่ใบหูขาวน่ะ ตอนนี้แดงเทือกไปหมดแล้ว!

 

“เหตุใดท่านไม่เตือนข้าให้เร็วกว่านี้หน่อยเล่า...”เซเรฟบ่นเสียงเบากับผู้เป็นบิดาก่อนที่จะรีบวิ่งแจ้นเข้าไปภายในวิหารอย่างรวดเร็ว

 

“โธ่เจ้าลูกคนนี้...”อัครมุขนายกอัสเตรอุสสั่นศีรษะอย่างท้อใจเล็กน้อยซึ่งเป็นกริยาที่ลอเรนซ์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน และไม่คิดว่าอัครมุขนายกผู้ทรงคุณวุฒิ สุขุม สงบเยือกเย็นคนนี้จะแสดงออกมาได้

 

“ข้าขอตัวเข้าไปสวดภาวนาก่อนนะคะ”หญิงสาวกล่าวเสียงเบาขณะที่แสดงรอยยิ้มแห้ง ๆ ให้กับอัครมุขนายกอัสเตรอุส แล้วจึงก้าวเดินเข้าไปภายในวิหารแห่งดวงดาราอันงดงามและยิ่งใหญ่ด้วยย่างเก้าเบาหวิว

 

 หญิงสาวย่างเท้าก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงภาวนาที่มืดสลัวและเงียบสงบด้วยหัวใจที่เต้นแผ่วเบาภายในอกทุกย่างเก้าล้วนมั่นคงและประณีต

 

ลอเรนซ์หาที่นั่งบนม้านั่งตัวหนึ่งที่เงียบสงบไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ แล้วนั่งลงพร้อมกับกุมมือไว้ที่หน้าอกในท่าภาวนาแล้วก้มศีรษะจรดลงขณะที่หันหน้าไปหาตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพีรัตติกาล

 

“เทพีแห่งรัตติกาลผู้เป็นนิรันดร”

“พระผู้ทรงมหิศรท่ามดวงดาวพร่างฟ้า, พระมารดาแห่งการปกปิดและความลับ, จักรพรรดินีแห่งความโชคร้ายและความสยองขวัญ”

“ท่านหญิงแห่งนิทรารมณ์และความเงียบสงบ”

“ผู้ศรัทธาผู้ภักดีและซื่อสัตย์ของท่านภาวนาถึงท่านด้วยใจอันเปี่ยมศรัทธา”

“ขอพระเทวีทรงเมตตาและประทานพรให้แก่ข้า”

“ขอให้ข้าและคนที่ข้ารักและห่วงใยได้รอดพ้นจากพยันตรายทุกภัยพาลที่ย่ำกรายมาถึง”

“ด้วยจิตอันมั่นคงและศรัทธามั่นนี้เป็นที่ตั้ง วาจานี้ของข้าเป็นสาร ขอโปรดให้ท่านพระเทวีโปรดสดับฟังด้วยเทอญ”

 

หญิงสาวอธิษฐานภาวนาด้วยน้ำเสียงกระซิบแผ่วเบาอย่างศรัทธา

 

นางก้มศีรษะค้างไว้อยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าหนักของใครบางคนเดินออกมาจากโถงทางเดินข้าง ๆ เข้าสู่ห้องโถงแห่งการภาวนานี้ นางจึงลดมือที่กอบกุมไว้ที่หน้าอกลงอย่างช้า ๆ

 

“สรรเสริญเทพธิดา”นางกระซิบขณะที่เหลือบมองไปยังตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลที่ประดิษฐานไว้อยู่บนผนังหินอ่อน ณ ส่วนลึกที่สุดของโถงภาวนาด้วยดวงตามั่นคงเปี่ยมศรัทธา

 

ก่อนที่จะนางจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าแล้วก้าวเท้าสาวเดินออกจากห้องโถงแห่งการภาวนาไปอย่างเงียบงันเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ศรัทธาที่ภาวนาอยู่คนอื่น ๆ

 

ที่นั่นบนผนังหินอ่อนที่ประดิษฐานตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์อันไว้นั้น ดวงดาวสีเงินบริสิทธิ์อันเป็นตราศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งประกายวาวแววอย่างเงียบงันโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

Notes:

สรรเสริญเทพธิดา!!

 

...................

ตราสัญลักษณ์ศักดิสิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลที่ผมคิดไว้

https://drive.google.com/file/d/1z8U2yqiY0R_0mrE0C2dRX5PIoBA-Gx7V/view?usp=drive_link

 

............................

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 15: ภัยร้าย

Summary:

ลอเรนซ์และเซเรฟไปที่ทะเลสาบอาร์เทส

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

 

เมื่อลอเรนซ์เดินกลับออกมาถึงหน้าทางเข้าวิหารตรงจุดที่ได้มีการสนทนากับอัครมุขนายกอัสเตรอุสและเซเรฟนั้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่เซเรฟคนเดียวแล้ว

 

“ฯพณฯ ไปแล้ว... บอกว่ามีงานด่วน”เซเรฟกล่าวขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าฉายแววสงสัยของหญิงสาวที่กำลังย่างเท้าเดินเข้ามาใกล้

 

ขณะนี้เซเรฟได้สวมเสื้อชั้นนอกที่ดูสุภาพขึ้นแล้วนั้นยิ่งทำให้ความหล่อเหลาของเขาเด่นขึ้นมา ชายหนุ่มร่างสูงกำยำสวมเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าสีดำสนิทไม่มีลวดลาย เสื้อตัวในรัดรูปให้ทะมัดทะแมงเหมาะสำหรับการต่อสู้ และสิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาลที่กลัดอยู่บนเสื้อคลุมสีดำสนิทตรงบริเวณหน้าอก

 

“นั่นสินะ..”หญิงสาวพึมพำกับตัวเองด้วยความเข้าใจ

 

ลอเรนซ์ไม่ได้แปลกใจมากนักกับคำพูดของเซเรฟเพราะอย่างไรเสียคนระดับอัครมุขนายกย่อมต้องไม่ได้มีเวลาว่างง่าย ๆ แน่นอน แค่เมื่อครู่ที่ได้ทรงออกมาต้อนรับและมอบหมายงานให้ได้ด้วยองค์เองก็ถือเป็นเกียรติมากแล้ว เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมาก

 

เมื่อหญิงสาวเดินมายืนเคียงข้างตนแล้วเซเรฟจึงกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบว่า

 

“แล้ว.... งานของเจ้าบอกว่าเราจะต้องไปที่ไหนล่ะ?”คำพูดของเขาทำให้ลอเรนซ์ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้อธิบายรายละเอียดของงานให้กับผู้ที่จะร่วมเดินทางไปด้วยเลย

 

หญิงสาวเรียบเรียงเนื้อความของงานภายในหัวอย่างรวดเร็วแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า

 

“เป็นภารกิจระดับ 4 จุดประสงค์คือการเก็บดอกวานิลลาย่ำราตรี ดอกจันทราเงิน และน้ำค้างบริสุทธิ์จากต้นวิลโลว์...”พลันดวงตาของหญิงสาวก็ปรากฏร่องรอยของความตื่นตระหนก

 

“ข้าลืมคิดถึงน้ำค้างบริสุทธิ์จากต้นวิลโลว์ไปเลยค่ะ!”ดวงหน้างามปรากฏความตื่นตระหนกอย่างไม่ปิดบังขณะที่หันหน้าไปหาผู้คุ้มกันคนใหม่สด ๆ ร้อน ๆ ของตนเองด้วยท่าทีลนลาน

“น้ำค้าง?”คิ้วรูปมีดดาบเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวที่ดูร้อนรนเป็นพิเศษ

 

“ใช่ค่ะ น้ำค้าง!”ลอเรนซ์กล่าวยืนยันโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่กำลังสงสัย หญิงสาวยกกระโปรงของตนให้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ขัดขวางย่างเก้าของตนและเร่งความเร็วการเดินขณะที่กำลังเดินลงมาตามขั้นบันไดหน้าวิหาร

 

“น้ำค้างบริสุทธิ์จะเก็บได้เฉพาะยามเช้าก่อนจันทราสีเงินจะลาลับเท่านั้นค่ะ และโดยเฉพาะน้ำค้างบริสุทธิ์จากต้นวิลโลว์ ถ้าเราไปช้ามันก็อาจจะไม่ทันกาลแล้วก็ได้ค่ะ นี่ก็จะเลยเวลาแล้ว!”น้ำเสียงของลอเรนซ์ปรากฏความตื่นตระหนกอย่างไม่ปิดบัง ขณะที่เดินนำหน้าเซเรฟออกไปและชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องนภา

 

ท้องนภายามเช้าอันสดใสผ่านปราการราตรีที่พร่ามัวปรากฏให้เห็นดวงจันทรากลมโตสีเงินที่ลอยเด่นอยู่บริเวณขอบฟ้าเป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะลาลับไปจากท้องนภาเสียแล้ว

 

“เร็วเข้าสิคะ!?”ลอเรนซ์หันหน้ากลับมาสำรวจเซเรฟที่อยู่ด้านหลัง ปรากฏว่าชายหนุ่มยังไม่ได้แม้จะก้าวเท้าเดินออกมาจากหน้าวิหารด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนี้นางเดินออกมาจากบริเวณบันไดนับสิบขั้นของวิหารแล้ว

 

เมื่อเห็นหญิงสาวที่ดูรีบร้อนอย่างนั้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาขณะที่ใช้มือลูบเส้นผมบนศีรษะของตนเองอย่างไม่เข้าใจ

 

“ยุ่งยากเสียจริง...”น้ำเสียงทุ้มดูหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่เซเรฟจะเริ่มวิ่งออกมาจากบริเวณทางเข้าวิหารอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกระโดดข้ามผ่านบันไดทางลงหลายขั้นจนถึงพื้นถนนภายในพริบตาเดียวแล้ววิ่งไปหาลอเรนซ์โดยไม่บอกไม่กล่าว

 

“เสียมารยาทแล้ว”เสียงทุ้มดังขึ้นที่ด้านหลังทำให้ลอเรนซ์สะดุ้ง

 

“ว๊าย!?”หญิงสาวเผลอกรีดร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อพบว่าขาทั้งสองข้างของตนกำลังลอยขึ้นจากพื้น ขณะที่เอวถูกแขนของใครบางคนโอบกอดไว้จนร่างทั้งร่างลอยปลิว

 

“ท่าน!?”ลอเรนซ์มองใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดเย็นชาของเซเรฟชายผู้ที่อุ้มนางขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างง่ายดายด้วยความตื่นตระหนกและหอบเหนื่อยชั่วขณะหนึ่ง

 

“โทษที.... แต่แบบนี้จะเร็วกว่า”เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าทางคล้ายจะโกรธก็ไม่ชายหน้าตายก็อดไม่ได้ที่จะกลอกดวงตาขึ้นบนอย่างรำคาญ แต่คำพูดกลับสวนทางกัน

 

จากนั้นโดยไม่รีรอคำกล่าวห้ามหรือตักเตือนใดจากลอเรนซ์ชายหนุ่มก็เริ่มออกวิ่งไปด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ในทันที

 

ร่างสูงโปร่งโอบอุ้มหญิงสาวราวกับขนนกเบาหวิวแล้ววิ่งไปตามทางด้วยความเร็วราวกับม้าพันธุ์ดี และในเวลาไม่ถึงนาทีทั้งสองก็ได้มาถึงเขตชานเมืองแล้วอย่างรวดเร็ว

 

“ไปทางไหนล่ะ?”เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูทำให้ลอเรนซ์รู้สึกแปลก ๆ

 

หญิงสาวหันหน้าไปมองรอบ ๆ ด้วยสายตาครุ่นคิดแล้วจึงกล่าวว่า

 

“ทางนั้นค่ะ”เมื่อเห็นปลายนิ้วที่ชี้ไปยังทิศตะวันออก เซเรฟก็เริ่มวิ่งออกไปอีกครั้งโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

 

ทั้งสองร่างทะลุผ่านปราการราตรีอันพร่ามัวที่ปกคลุมรอบเมืองออกไปแล้วร่างทั้งสองก็หายลับไปในพงไพรหนาทึบในทันที

 

ใช้เวลาราว ๆ 10 นาที เซเรฟก็ได้วิ่งผ่านต้นไม้น้อยใหญ่และพุ่มไม้รกร้างจนกระทั่งถึงลานหญ้ากว้างที่อยู่ติดทะเลสาบใหญ่

 

ความเร็วของชายหนุ่มจึงค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง

 

เมื่อเห็นว่าถึงที่หมายแล้วเซเรฟก็ค่อย ๆ วางลอเรนซ์ลงบนพื้นโดยให้ทางขาของหญิงสาวได้สัมผัสพื้นก่อนเพื่อทรงตัว จากนั้นจึงพยุงเอวคอดไม่ให้ล้มกระทั่งหญิงสาวทรงตัวยืนอยู่ได้แล้วจึงละมือออก

 

“ข- ขอบคุณค่ะ”หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัดเล็กน้อย นอกจากจะตกใจเพราะพละกำลังและความเร็วเหนือมนุษย์ที่ได้เห็นแล้วยังปรากฏความเขินอายออกมาเล็กน้อยแต่ก็ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด

 

“ท่าน- ท่านรออยู่ที่นี่นะคะ..”ลอเรนซ์ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปสบตากับเซเรฟเลยแม้แต่น้อย เมื่อดวงตาเหลือบไปมองเห็นต้นวิลโลว์ที่ตั้งตระหง่านอยู่หลายต้นในบริเวณริมทะเลสาบอันงดงามนางก็รีบเดินเข้าไปหาในทันที

 

“?”เซเรฟมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวไปด้วยแววตานิ่งงัน เขาฟังสิ่งที่ลอเรนซ์พูดแล้วรออยู่ที่นี่จริง ๆ แต่ประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณทางจิตวิญญาณของเขาตอนนี้กำลังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อเฝ้าระวัง

 

ทางด้านของลอเรนซ์เมื่อเดินเข้ามาถึงต้นวิลโลว์ต้นแรกแล้วหญิงสาวก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ายังมีน้ำค้างหยาดระยิบระยับราวกับอัญมณีปรากฏอยู่หลายจุดที่ใบของต้นวิลโลว์ที่ห้อยย้อยลงมาอย่างงดงาม

 

นางค้นหาขวดแก้วที่ถูกคำนวณมาอย่างดีแล้วว่าสามารถบรรจุน้ำได้ 10 มิลลิลิตรพอดีออกมาจากถุงเก็บของในกระโปรงด้วยหัวใจที่ผ่อนคลายขึ้น

 

แม้จะลืมเอากระเป๋าเก็บของมาด้วยก็เถอะ ยังดีที่เราเก็บขวดแก้วนี้ไว้ในถุงเก็บของในกระโปรงตลอดเวลาไม่อย่างงั้นวันนี้คงไม่ได้อะไรติดกลับไปด้วยแน่ ๆ นางบ่นพึมพำในใจ

 

เพราะรีบหรอกนะก็เลยลืมกลับบ้านไปเอาของ.. ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้นล่ะก็- เราก็คงนึกได้ก่อนแล้ว ขณะที่กำลังเก็บหยาดน้ำค้างบริสุทธิ์ที่กำลังรินไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงแล้วหยดใส่ขวดแก้วพอดี ลอเรนซ์ก็ยังบ่นในใจไม่หยุดทั้งที่ตอนนี้ใบหูแดงก่ำไปหมดแล้ว

 

ใช้เวลาไม่นานหญิงสาวก็สามารถเก็บหยาดน้ำค้างบริสุทธิ์ได้จนเต็มขวดแก้ว นางปิดขวดแก้วอย่างระมัดระวังแล้วเก็บเข้าที่เดิมก่อนที่จะเดินกลับไปหาเซเรฟด้วยหัวใจที่สงบขึ้นหลังจากใช้สมาธิกับการเก็บหยาดน้ำค้างไป

 

“ดอกวานิลลาย่ำราตรีส่วนมากขึ้นอยู่ที่ด้านหลังเมืองเราค่อยไปเอาก็ได้ค่ะ... ส่วนดอกจันทราเงินมันขึ้นอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบอาร์เทส ท่านรู้จักไหมคะ?”หญิงสาวกล่าวถามด้วยน้ำเสียงลังเลและยังไม่กล้าสบตาตรง ๆ กับชายหนุ่ม

 

“ข้ารู้...”เซเรฟตอบกลับด้วยความสัตย์จริง

 

ที่นี่ห่างจากเมืองไม่ถึงไมล์ ส่วนทะเลสาบอาร์เทสนั้นก็อยู่ไกลออกไปอีกตั้ง 2 ไมล์ ดวงตาของชายหนุ่มส่อแววครุ่นคิดพิจารณา

 

รอบ ๆ ทะเลสาบมีรายงานว่าเคยมีสัตว์ร้ายระดับ 3 และต่ำกว่า แต่ไม่เคยพบสัตว์ร้ายระดับสูง... ลำดับ 5 อย่างเรากับการคุ้มกันคนธรรมดาคนหนึ่ง- สายตาของเซเรฟก็เหลือบไปมองลอเรนซ์อยู่แวบหนึ่ง

 

คงไม่มีอันตรายมากนัก ชายหนุ่มตัดสินใจ

 

“เช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันเถิด ระยะทางประมาณ 2 ไมล์คงจะใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ หากไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เราก็ควรรีบ”ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ

 

“อื้ม เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะค่ะ”ลอเรนซ์พยักหน้าให้กับคำกล่าวอ้างดังกล่าว

 

“เอ่อ... เชิญท่านนำค่ะ คือ-”แก้มของหญิงสาวเห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

 

“ข้าไม่รู้จักเส้นทางค่ะ..”ใบหูและใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำไปหมดแล้ว

 

เซเรฟเห็นปฏิกิริยาดังกล่าวก็เค้นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างขบขัน ก่อนที่เขาจะเริ่มเดินนำออกไปก่อนแล้วลอเรนซ์จึงเดินตามหลังมา กระนั้นแม้ว่าเซเรฟจะเป็นคนนำแต่เขาก็ระมัดระวังความปลอดภัยรอบ ๆ อยู่ตลอดเวลาด้วยสัญชาตญาณทางจิตวิญญาณระดับสูงที่ตื่นตัวอยู่เสมอ เขาพร้อมสำหรับการหลบหนีหรือต่อสู้เมื่อจำเป็นตลอดเวลา

 

ทั้งสองใช้เวลาเดินท่องไปในป่าใหญ่และรกร้างไร้สัญญาณของมนุษย์ไปประมาณ 1 ชั่วโมงตามการคาดการณ์ของเซเรฟจริง ๆ และตลอดการเดินทางของทั้งสองก็ยังคงความเงียบงันอยู่ตลอด

 

มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงเดินของคนทั้งสองเท่านั้นที่ดังอยู่ตลอดเวลา อนึ่งชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมากนัก และหญิงสาวก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป จึงทำให้บรรยากาศดูสงบเงียบสงัดอยู่ตลอดเวลา

 

จนกระทั่งทั้งสองได้โผล่ออกมาที่เนินหญ้ากว้างที่ทะเลสาบใหญ่สะท้อนอยู่ภายในดวงตาได้ ทั้งคู่ก็รู้ได้ในทันทีว่าได้มาถึงจุดหมายแล้ว

 

“ข้าจะรอเจ้าที่นี่-”ไม่ทันที่เซเรฟจะได้พูดจบลอเรนซ์ก็กล่าวขัดขึ้นมาก่อนว่า

 

“ท่านช่วยข้าเก็บดอกไม้หน่อยได้ไหมคะ?”น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นสั่นเครือและลังเล

 

เซเรฟหันหลังกลับไปมองหญิงสาวผู้ที่ตนจะต้องปกป้องด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้พกสิ่งใดติดตัวมาเลยก็เข้าใจได้ในทันที

 

“เจ้านำทาง...”เซเรฟกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสงบ

 

คำตอบนี้คือจะช่วยใช่ไหม? ลอเรนซ์กระพริบตาปริบ ๆ กับคำตอบที่ไม่ตรงคำถามเท่าไหร่นักของชายหนุ่ม ทว่านางก็ไม่รอช้าให้เสียเวลาเริ่มเดินนำออกไปในทุ่งหญ้ากว้างก่อน

 

ทั้งสองคนเดินผ่านทุ่งหญ้าไปเข้าใกล้กับขอบทะเลสาบอาร์เทสมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถมองเห็นดอกไม้ที่มีกลีบสีเงินได้ด้วยตาเปล่า

 

นั่นคือดอกจันทราเงิน!

 

ดอกไม้มีรูปเป็นพระจันทร์เสี้ยวสีเงินและมีก้านดอกสีเขียวสูงและใบเรียวแหลม หลายสิบดอกขึ้นอยู่ริมทะเลสาบในบริเวณน้ำตื้นและไม่กี่ดอกที่อยู่บนผืนดิน ทำให้เห็นได้ชัดว่าดอกไม้นี้เจริญได้ดีในที่ที่มีน้ำมาก

 

“ดอกนั้นแหละค่ะ... เราต้องการมัน 33 ดอก”ลอเรนซ์ชี้นิ้วไปทางดอกจันทราเงินที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยที่หารู้ไม่ว่าเซเรฟก็รู้จักดอกจันทราเงินเช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่อัศวินราตรีจะรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นหนึ่งในดอกไม้ที่มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งราตรีนิรันดร์ และเป็นวัตถุดิบจำเป็นในการประกอบพิธีกรรมทางเวทมนตร์และศาสตร์เร้นลับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทพีรัตติกาล

 

“ท่านเก็บดอกจันทราเงิน 15 ดอก ส่วนข้าจะเก็บ 18 ดอก”ลอเรนซ์จัดแจงงานอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มก้าวเท้าเดินลงไปในทะเลสาบบริเวณน้ำตื้นอย่างช้า ๆ

 

“เรามารีบเก็บกันเถอะค่ะ การอยู่นอกปราการราตรีนาน ๆ แบบนี้ข้ารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย”น้ำเสียงของนางยังคงสงบอยู่แต่เซเรฟก็สัมผัสได้ถึงความหวาดระแวงและกลัวเกรงในน้ำเสียงของเธอได้อย่างชัดเจน

 

และชายหนุ่มก็รู้สึกแบบเดียวกันกับหญิงสาว การอยู่นอกปราการราตรีนาน ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีจริง ๆ นั่นแล

 

ดังนั้นทั้งสองจึงเริ่มเก็บดอกไม้จันทราสีเงินกันอย่างเร่งรีบทว่าก็ยังคงความละเอียดรอบคอบ โดยลอเรนซ์และเซเรฟจะเลือกเก็บเฉพาะดอกที่สมบูรณ์และไม่เหี่ยวเฉาหรือมีจุดที่บอบช้ำเพื่อความสมบูรณ์แบบที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและละเอียดลออ

 

“ท่านเซเรฟ!”เสียงตะโกนของหญิงสาวดังมาจากด้านหลังของเซเรฟไม่ไกลนัก

 

“ข้าเก็บได้ครบแล้ว ท่านเล่า?”ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างจากตนประมาณ 30 เมตร ด้วยความสงบ

 

“ข้าก็ครบแล้ว”เขากล่าวตอบ

 

“เช่นนั้นเราก็กลับกันเถิด”ลอเรนซ์เผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอกและผ่อนคลาย

 

แต่ทันใดนั้นเองริ้วคลื่นบนผิวน้ำของทะเลสาบก็พลันสั่นสะท้านด้วยแรงมหาศาลจากใจกลางทะเลสาบ คลื่นพลังงานสั่นสะเทือนแผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรงจนสามารถรู้สึกได้ด้วยเท้าเปล่า

 

“!?”ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนก และด้วยสัญชาตญาณการเดาตัวรอดหญิงสาวก็รีบวิ่งขึ้นมาจจากทะเลสาบในทันที

 

เช่นเดียวกันกับเซเรฟที่สัมผัสได้อย่างเฉียบพลันและกะทันหันถึงพลังงานแปลก ๆ ที่โผล่ออกมาจากใจกลางทะเลสาบ ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบวิ่งเข้ามาหาลอเรนซ์ด้วยความรวดเร็ว

 

“รีบหนีกันก่อน!”คำพูดของชายหนุ่มนั้นรีบร้อนเป็นอย่างมาก เขาถือวิสาสะอีกครั้งแล้วโอบอุ้มร่างของหญิงสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมอกโดยไม่ได้พูดอะไรมากแล้ววิ่งกระโจนออกจากริมทะเลสาบอาร์เทสในทันที

 

ครื้น!

 

ผิวน้ำสั่นกระเพื่อมด้วยแรงมหาศาลจากนั้นเสียงหวีดร้องแหลมแสบแก้วหูก็ดังขึ้นมา มันทำให้เซเรฟและลอเรนซ์รู้สึกอ่อนแอลงชั่วขณะหนึ่งอย่างเฉียบพลัน

 

ตู้ม!

 

ใจกลางทะเลสาบอาร์เทสคลื่นน้ำก็พุ่งกระจายออกมาจากใจกลาง และแล้วร่างยักษ์ของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่นั่น

 

มันเป็นสัตว์ร้ายที่มีลำตัวใหญ่เท่ากับบ้านหลังใหญ่ภายในเมืองเซเลสเลยทีเดียว และรอบ ๆ ลำตัวของมันนั้นก็คือหนวดที่แปลกประหลาดและน่าขยะแขยงนับไม่ถ้วน สีผิวของมันเป็นสีน้ำเงิน-เขียว และส่วนหัวของมันเป็นรูปทรงกลมแบนขนาดใหญ่ที่มีกระบอกดวงตายืดออกมา 2 ข้าง

 

“เนซซี่ อสูรกายแห่งทะเลสาบต้องคำสาป!?”ดวงตาสีเทาของเซเรฟสั่นสะท้านอยู่ชั่วครู่พร้อมกับในหัวที่แล่นอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหารายชื่อและระดับของสัตว์ประหลาดตัวนี้

 

“ระดับ 1 ภัยร้ายค่ะ!”เมื่อได้ยินชื่อที่เซเรฟโพล่งออกมาหญิงสาวก็หาข้อมูลที่สอดคล้องกันได้แทบจะในทันที ลอเรนซ์ใช้มือสัมผัสกับไหล่กว้างของชายหนุ่มด้วยความตื่นตระหนก

 

“เราหนีกันเถอะค่ะ!”

 

ระดับ 1.... ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก

 

หากจะถามว่าสัตว์ร้ายความอันตรายระดับ 2 นั้นคือเท่าใด ก็คงต้องเล่าเริ่มก่อนว่า ข้อมูลเหล่านี้ล้วนถูกจัดเรียงขึ้นโดยผู้คนในสมัยก่อนในยุคแรกเริ่มของเมืองนี้ และพวกเขาเหล่านั้นก็ได้รับการสั่งสอนโดยทูตสวรรค์แห่งปาฏิหาริย์ด้วยตนเอง

 

สัตว์ร้ายแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ 4 อันตรายเล็กน้อย เทียบได้กับผู้วิเศษลำดับ 9

ระดับ 3 อันตรายปานกลาง เทียบได้กับผู้วิเศษลำดับ 8-7

ระดับ 2 อันตรายมาก เทียบได้กับผู้วิเศษลำดับ 6-5

ระดับ 1 ภัยร้าย เทียบได้กับผู้วิเศษลำดับ 4-3

และระดับ 0 ภัยพิบัติ เทียบได้กับเทวทูตตามพระคัมภีร์!

 

และสัตว์ประหลาดตัวนี้ที่ปรากฏในทเลสาบอาร์เทสคือสัตว์ร้ายที่มีความอันตรายอยู่ที่ระดับ 1 ภัยร้าย! จากขนาดตัวและพลังที่แผ่ออกมาน่าจะอยู่ประมาณลำดับ 4 เหนือกว่าตัวของเซเรฟ 1 ลำดับเลยทีเดียว!

 

เป็นสัตว์ร้ายที่อันตรายอย่างยิ่งยวดและยิ่งต้องรีบหนีมันก่อนที่มันจะตามทันและจับตามองเป็นเหยื่อ

 

ชายหนุ่มตัดสินใจพาตนและหญิงสาวหนีแทบจะในทันที

 

“จับไว้ให้ดี”ชายหนุ่มกำชับเสียงนิ่งก่อนที่เขาจะเริ่มวิ่งออกจากเขตของทะเลสาบอาร์เทสด้วยความรวดเร็ว เสริมกับพลังเหนือธรรมชาติที่ทำให้ความเร็วของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันจนสามารถมองเห็นร่างของเขาได้เป็นภาพติดตา

 

ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็หลุดออกจากเขตของทะเลสาบอาร์เทสและอยู่นอกเขตตรวจจับของสัตว์ประหลาดอย่างเนซซี่

 

โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงชายหนุ่มปล่อยให้ความเงียบงันเป็นการกล่อมจิตใจที่ตื่นตระหนกอกสั่นขวัญผวาของหญิงสาวขณะที่นางหลับตาลงเพื่อพักผ่อนสายตาอยู่ในอ้อมแขนอุ่นที่โอบอุ้มตนไว้

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดทั้งสองก็กลับมาถึงเมืองเซเลสได้เสียที เซเรฟรักษาความเร็วของตนไว้แล้วพาตัวลอเรนซ์มาถึงวิหารแห่งดวงดาราได้อย่างปลอดภัย

 

“ไปรายงานภารกิจกับ ฯพณฯ อัครมุขนายกอัสเตรอุสกันเถอะ”เซเรฟกล่าวเสียงเบาก่อนที่จะวางลอเรนซ์ที่รู้สึกตัวแล้วลงบนพื้นหินอ่อนของวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบอย่างแผ่วเบา

 

ลอเรนซ์เห็นด้วยกับเซเรฟโดยที่แทบไม่ต้องคิด ร่างทั้งสองจึงเดินหายลับเข้าไปในวิหารแห่งดวงดาราอันศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบนั้นเพื่อแจ้งข่าวร้ายและอันตรายยิ่งยวดให้กับผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อหาวิธีการรับมือและป้องกัน

 

ร่างทั้งสองเดินผ่านม้านั่งที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งราตรีไปโดยไม่ทันได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าจู่ ๆ ความเหนื่อยล้าที่ครอบงำร่างทั้งสองอยู่ได้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

 

ตราสัญลักษณ์รูปดวงดาราสีเงินขนาดใหญ่บนผนังเปล่งแสงระยิบระยับอย่างเงียบงัน คลื่นความเงียบสงบแผ่ซ่านไปทั่วโถงแห่งการภาวนาและควันสีซีดอันชั่วร้ายและเน่าเปื่อยก็ค่อย ๆ ถูกชำระล้างออกไปจากร่างของคนทั้งสองคนที่เดินผ่าน โดยที่เซเรฟและลอเรนซ์ไม่ได้ตระหนักถึงด้วยซ้ำ

 

และที่ม้านั่งตัวนั้นเอง มีชายคนนั้นที่นั่งสวดภาวนาอยู่สวมชุดสีดำเก่า ๆ และหมวกปีกยาวปกคลุมใบหน้า ทันทีที่ร่างของเซเรฟและลอเรนซ์เดินหายลับเข้าไปหลังบานประตูที่ทำงานของวิหารแห่งดวงดาราอันเป็นสถานที่ส่วนบุคคลเฉพาะนักบวชและอัศวินราตรี ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง

 

ที่ซึ่งตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์แผ่กลิ่นอายแห่งความสงบและพลังแห่งการหลับใหลออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับคลื่นมนตราและเพลงกล่อมที่แพร่กระจายไปในอากาศบาง ๆ ทั่วทั้งเมืองเซเลสอย่างละเอียดอ่อนและไม่สามารถตรวจสอบได้

 

“สรรเสริญเทพธิดา...”เมอร์ลิน เฮอร์มิสกล่าวกระซิบด้วยใบหน้าเปี่ยมศรัทธา

 

ตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แวววาวอยู่อย่างเงียบเชียบและเสียงร้องกล่อมแผ่วเบาของสตรีอันลึกลับก็ดังลอยไปในอากาศ

 

นักมายากลพเนจรวาดสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์บนหน้าอกของตนอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะหายวับไปจากสถานที่แห่งนั้น ทิ้งไว้เพียงประกายระยิบระยับของตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

 

ซาลิงเกอร์?...

 

เสียงถอนหายใจดังกระซิบแผ่วเบาก้องกังวานไปทั่ววิหารแห่งดวงดาราทว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแม้แต่น้อย

 

ดวงดาวสีเงินและลวดลายของดวงดารานับไม่ถ้วนบนผนังและเสาหินอ่อนก็ราวกับว่ามันได้เปล่งแสงประกายระยิบระยับอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แลไม่มีใครล่วงรู้

 

 

Notes:

เมอร์ลิน : สรรเสริญเทพธิดา
เทพธิดา : ซาลิงเกอร์....// ถอนหายใจ

นี่มันมีกลิ่นของการวางแผนบางอย่าง??

 

.........................

ขอบคุณที่อ่านกันนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป ~~

Chapter 16: วันของขวัญแห่งฤดูหนาว

Summary:

ร่วมฉลองในวันของขวัญแห่งฤดูหนาว!

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

“จริงรึ?”น้ำเสียงของอัครมุขนายกอัสเตรอุสจริงจังขึ้นหลายส่วน ใบหน้าทรงภูมิฐานของชายวัยกลางคนปรากฏร่องรอยของความครุ่นคิดและพิจารณา

 

“เกรงว่านี่จะไม่ง่ายเสียแล้ว...”อัครมุขนายกถอนหายใจก่อนที่จะเหลือบสายตามองไปยังเซเรฟและลอเรนซ์

 

“ลอเรนซ์ ข้าวานเจ้าให้ไปเรียกธาซิสให้มาพบข้าด้วย บอกเขาว่ามีเรื่องด่วน”

 

“ค่ะ”ลอเรนซ์พยักหน้าตอบรับด้วยหัวใจที่สั่นเทา แล้วจึงรีบเดินออกจากห้องทำงานของอัครมุขนายกไปอย่างรวดเร็ว จึงเหลือเพียงบิดาและบุตรชายสองคนภายในห้องเท่านั้น

 

“ท่านพ่อ นี่คือสิ่งที่ท่านกังวลหรือ? เพราะเนซซี่ตนนี้ที่หลบซ่อนอยู่ในทะเลสาบอาร์เทสหรือ? เช่นนั้นท่านคงไม่ให้ข้ารับหน้าที่คุ้มกันหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งหรอกใช่ไหม?”เมื่อไม่มีคนนอกบุตรชายกับบิดาจึงเริ่มสนทนากันด้วยหัวข้อที่เข้มข้นขึ้น

 

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าคาดหวังหรอก...”อัครมุขนายกอัสเตรอุสส่ายหน้า

 

“ส่วนลอเรนซ์- นางนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่ใช่แค่นักบวชฝึกหัดอันดับหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เราต้องปกป้องนางมากขนาดนี้”ดวงตาสีเทาหม่นแต่สงบและเยือกเย็นของอัสเตรอุสดูลึกลับขึ้นมาเมื่อพูดถึงลอเรนซ์

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้ในตอนนี้”จากนั้นอัครมุขนายกก็กล่าวตัดบทไปดื้อ ๆ และไม่เปิดโอกาสให้เซเรฟได้กล่าวถามต่อ

 

“ส่วนเนซซี่ตนนั้น ข้าเกรงว่ามันอาจจะเป็นแผนการร้ายของเทพบางองค์ที่ต้องการขัดขวางองค์เทพี”

 

“ท่านพ่อจะไปปราบมันใช่ไหมครับ?”ชายหนุ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

 

คำถามดังกล่าวจากผู้เป็นบุตรทำให้อัสเตรอุสชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ชายวัยกลางคนถอนสายตาออกมาจากบุตรชายแล้วเหลือบไปมองตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งราตรีที่สลักอยู่บนผนังของห้องด้วยแววตาลึกล้ำ

 

“ข้า... ข้าคงไปด้วยตัวเองไม่ได้”

 

“แต่- ทำไมล่ะครับ?”น้ำเสียงของเซเรฟก็พลันเติมเต็มไปด้วยความสับสน

“ปราการราตรีที่ปกป้องเมืองของเรานั้นจำเป็นต้องมีข้าคอยค้ำจุนอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่สามารถออกจากเมืองไปได้ในตอนนี้ และยิ่งในวันนี้ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงพิธีกรรมศักดิสิทธิ์ของเรา”น้ำเสียงของชายวัยกลางคนนั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยความสงบ

 

“วันของขวัญแห่งฤดูหนาว...”ดวงตาที่ถอดแบบเดียวกันมาจากบิดาสู่บุตรชายนั้นได้แสดงออกถึงความตระหนักรู้บางอย่าง

 

“องค์เทพี... ท่านทรงประสงค์สิ่งใดกันแน่ครับ?”โดยที่ไม่สามารถหักห้ามตนเองได้ เซเรฟจึงได้กล่าวถามคำถามที่ไม่มีวันได้รับคำตอบออกไป

 

“ความลับนี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถแพร่งพรายได้... องค์เทพีมีแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า”อัครมุขนายกอัสเตรอุสส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบาให้กับคำถามของบุตรชาย

 

ขณะนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอกห้อง

 

“ท่านอัครมุขนายกครับ ข้าธาซิสมาตามรับสั่งของท่านแล้ว”นั่นคือน้ำเสียงของธาซิส โรวิน บุคคลที่อัครมุขนายกอัสเตรอุสได้ให้ลอเรนซ์ไปเรียกมานั่นเอง

 

“เข้ามา”

 

สิ้นเสียงของอัสเตรอุสบานประตูของห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับสองร่างที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

 

“มีเรื่องอะไรงั้นหรือครับ?”ธาซิส โรวิน รองผู้บัญชาการสูงสุดประจำวิหารแห่งดวงดาราแห่งนี้นั้นกล่าวขึ้น หลังจากสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีเพียงตนที่ถูกเรียกมา

 

อัครมุขนายกยังไม่ได้รีบตอบคำถามดังกล่าวไป แต่เขาได้ให้ความสำคัญกับลอเรนซ์ก่อน

 

“แม่หนู ต่อจากนี้ไปมิใช่เรื่องที่เจ้าสามารถช่วยอะไรได้อีกแล้ว... ข้าสังเกตว่าเจ้าคงไปเก็บดอกจันทราเงินมาจนครบแล้ว ทำไมไม่ไปทำภารกิจของเจ้าต่อเสียล่ะ?”อัครมุขนายกอัสเตรอุสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นขณะที่จ้องมองไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องด้วยรอยยิ้มสุขุม

 

“แต่-”ลอเรนซ์พบว่าตัวเองกำลังถูกไล่ออกด้วยความสุภาพก็พยายามจะหาข้ออ้างมาเพื่อให้ตนได้อยู่ต่อ

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงไป เนซซี่ตนนั้นจะถูกจัดการแน่นอนนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลเท่าไรนักหรอก เจ้าวางใจได้”อัครมุขนายกอัสเตรอุสยังคงยิ้มให้กับหญิงสาวและตอบกลับด้วยความใจเย็น

 

“หรือถ้าเจ้า...”จู่ ๆ สายตาของอัครมุขนายกอัสเตรอุสก็เลื่อนไปมองบุตรชายที่ยืนอยู่ขอบของห้องด้วยสายตาลึกลับแปลก ๆ

 

“ถ้าเจ้าเป็นห่วงเซเรฟล่ะก็ เจ้าก็วางใจเถิด เขาเป็นถึงอัศวินราตรีลำดับ 5 ความแข็งแกร่งนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง”สายตาของอัครมุขนายกนั้นยังคงความลึกลับอยู่เมื่อมองไปยังเซเรฟและลอเรนซ์ตามลำดับ

 

“ขะ- ข้า..”แก้มของหญิงสาวเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อย

 

“เช่นนั้นข้าขอตัวไปทำภารกิจต่อก่อนนะคะ!”นางกล่าวขึ้นด้วยความรีบร้อนแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป แต่ก่อนที่จะจากไปโดยสมบูรณ์ร่างของนางก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

 

ที่หน้าประตูของห้องทำงานของอัครมุขนายกอัสเตรอุส ลอเรนซ์หันหน้ากลับเข้าไปในห้องด้วยลมหายใจที่ไม่สงบเท่าไรนัก แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า

 

“ขอให้เทพธิดาโปรดอำนวยอวยพรพวกท่านทุกคนค่ะ”ลอเรนซ์กล่าวแล้วจับชายกระโปรงยกขึ้นโค้งคำนับเป็นการอำลา แล้วจึงเดินจากไป

 

จากนั้นเซเรฟก็เดินไปปิดประตูห้องทำงานเข้ามา คนทั้ง 3 จึงกลับเข้าสู่สภาวะตึงเครียดอย่างกระทันหัน

 

“แล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ครับ?”ธาซิส โรวิน ลำดับ 4 ผู้พิทักษ์ราตรีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังและใบหน้านิ่งขรึม

 

จากนั้นอัครมุขนายกอัสเตรอุสและเซเรฟจึงได้อธิบายความเป็นมาและเหตุด่วนที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดรวมถึงสิ่งที่พวกเขาได้คาดเดาเอาไว้แล้วเป็นเบื้องต้นด้วย

 

“เนซซี่ ระดับ 1 ภัยร้าย...”

 

“เซเรฟ วานเจ้าเรียกกองอัศวินราตรีหน่วยที่ 1 ไปพบกันที่หน้าทางเข้าเมืองทิศตะวันออก นี่คือคำสั่งของรองผู้บัญชาการ ภายในอีก 5 นาทีข้าจะรีบตามไป”ธาซิสกล่าวกับเซเรฟ

 

“ครับ”จากนั้นเซเรฟจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

 

“เรื่องนี้... ข้าฝากเจ้าแล้ว”อัครมุขนายกอัสเตรอุสกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม

 

“ครับ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”ธาซิส โรวินกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากห้องไป

 

เมื่อร่างของเขาจากไปแล้ว อัครมุขนายกอัสเตรอุสจึงได้ถอนลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน สิ้นซึ่งภาพลักษณ์ที่เคยเป็นมา

 

ชายวัยกลางคนเหม่อมองไปยังสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์

 

“องค์เทพี... โปรดประทานพรให้พวกเขาด้วย หากพระองค์ทรงได้ยินเสียงของผู้ศรัทธาของท่านผู้นี้-”น้ำเสียงของเขาขาดห้วงไป

 

“ขอให้ท่านทรงตื่นจากพระบรรทมเถิดองค์เทพี”น้ำเสียงของเขาขาดหายไปทว่ารูปริมฝีปากยังคงขยับเป็นคำพูดแต่ไร้ซึ่งเสียงใดหลุดรอดออกมา

 

“สรรเสริญท่านองค์เทพี...”

 

 

 

 

 

 

“ไปกันแล้ว...”ลอเรนซ์กล่าวถามเพื่อนสนิทของเธอด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยขณะที่กำลังเก็บดอกวานิลลาย่ำราตรีอยู่ในสวนด้านหลังเมือง

 

“ใช่แล้ว ข้าเห็นพวกอัศวินราตรีกองที่ 1 รวมพลกันอยู่หน้าประตูเมืองทางทิศตะวันออก ทุกคนแต่งกายเต็มยศราวกับกำลังจะไปทำศึกที่ไหนก็ไม่รู้และยังทำให้ดูเป็นความลับมากเสียด้วย โชคดีที่ข้ามีพรสวรรค์ในการสอดรู้สอดเห็นจึงนำข้อมูลมาบอกเจ้าได้”หญิงสาวอีกคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ไปแล้วงั้นรึ...”ลอเรนซ์พึมพำด้วยความสับสนและรู้สึกเป็นห่วงแปลก ๆ

 

หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงนัยน์ตาสีเขียวสว่างที่ผู้นำข่าวมาบอกให้กับลอเรนซ์มองลอเรนซ์ด้วยท่าทีแปลก ๆ เล็กน้อย แต่เมื่อมองเห็นความกังวลที่น้อยนักจะแสดงออกมาของลอเรนซ์เธอจึงพยายามปลอบเพื่อนของเธอ

 

“โธ่ อย่าห่วงไปเลย... ท่านรองผู้บัญชาการ ธาซิส โรวินเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง ท่านเป็นถึงกึ่งเทพ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”แต่พูดไปแล้วลอเรนซ์ก็ยังคงกังวลอยู่ดี เหมือนพูดหูซ้ายทะลุออกหูขวา

 

หญิงสาวผมสีน้ำตาลถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบังแล้วกล่าวขึ้นมาอีกว่า

 

“ถ้าเจ้าเป็นห่วงขนาดนั้นล่ะก็ ทำไมไม่ตามไปดูให้เห็นกับตาเลยเล่า?”สิ้นเสียงของนาง ดวงตาของลอเรนซ์ก็เปล่งประกายวิบวับขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

 

“จริงสิ! ขอบคุณมากนักซิลเวีย ข้าจะรีบตามพวกเขาไปเดี๋ยวนี้!”ลอเรนซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตูมอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

 

หญิงสาวลุกขึ้นยืนพรึบพรับอย่างรวดเร็วแล้วทำท่าจะวิ่งออกไปจากสวนให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังเก็บดอกวานิลลาย่ำราตรียังไม่เสร็จเลยก็หยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ

 

ลอเรนซ์เลียริมฝีปากของตนด้วยความรู้สึกผิดที่บังเกิดขึ้นมาภายในใจ

 

“ซิลเวีย... ข้าวานเจ้าเก็บดอกวานิลลาย่ำราตรีให้ข้าได้หรือไม่?”นางหันมาหาซิลเวียด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

 

หญิงสาวผมสีน้ำตาลและดวงตาสีเขียวนามซิลเวีย เห็นท่าทีดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกระลอก

 

“เห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนหรอกนะ...”

 

“ขอบคุณมากซิลเวีย!”ทันทีที่หญิงสาวผมสีน้ำตาลตอบรับ ลอเรนซ์ก็หันหลังวิ่งออกไปในทันที

 

“ถ้าข้ากลับมาแล้ว เจ้าจะขออะไรข้าย่อมช่วยเจ้าทุกเรื่องแน่!”ขณะที่วิ่งออกไป ลอเรนซ์ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาหนึ่งกับซิลเวียเป็นการตอบแทนน้ำใจ

 

“เจ้าล่ะก็..”หญิงสาวผมสีน้ำตาลสั่นศีรษะเบา ๆ กับคำพูดของลอเรนซ์ จากนั้นนางก็ตะโกนตามหลังไปว่า

 

“กลับมาเร็ว ๆ ล่ะ ระมัดระวังด้วยนะ!”เสียงสะท้อนกังวานไปเรื่อย ๆ เป็นริ้วคลื่นจนกระทั่งเลือนรางหายไปจนหมด หญิงสาวผมสีน้ำตาลและดวงตาสีเขียวจึงถอนหายใจออกมาอีกรอบ

 

“ขอให้เทพธิดาคุ้มครองนางด้วย”ซิลเวียกล่าวอธิษฐานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะที่วาดสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งราตรีบนหน้า

 

 

 

 

 

 “โจมตี!”ในจุดที่ซ่อนเร้นรอบ ๆ ทะเลสาบอาร์เทส พวกอัศวินราตรีที่หลบซ่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่คอยเฝ้าสังเกตสัตว์ประหลาดอันตราย ระดับ 1 ภัยพิบัติที่ลอยอยู่กลางเวิ้งน้ำนั้นก็ได้เปิดฉากการโจมตีขึ้น

 

โอ้ ภัยคุกคามแห่งความหวาดผวา ความหวังแรงกล้าแห่งเสียงขับขานบริสุทธิ์!”นักกวีเที่ยงคนหลายคนเริ่มขับขานบทกวีออกมาด้วยน้ำเสียงไพเราะและดังก้องกังวาน

 

เสียงอันสงบและเต็มไปด้วยพลังแห่งการหลับใหลแผ่กระจายออกมาเป็นวงกว้างล้อมรอบทะเลสาบอาร์เทสอย่างรวดเร็วด้วยกลิ่นอายแห่งการหลับใหลและความเงียบสงบ

 

วิญญาณเงียบสงัด”ดวงตาสีเทาของเซเรฟพลันถูกกลืนกินด้วยความมืดมิดไปทั้ง เงาที่อยู่ล้อมรอบร่างของเขาก็พลันสั่นเทาแล้วขยายออกไปอย่างน่าพิศวง

 

จากนั้นร่างโปร่งแสงที่มีออร่าสีดำสนิทก็โผล่ขึ้นมาจากเงาของเขาแล้วมันก็พุ่งเข้าหาร่างของเนซซี่ที่กำลังตื่นตระหนกกลางทะเลสาบอาร์เทสด้วยความรุนแรง

 

“คำราม!!”เนซซี่ถูกยั่วยุจากทุกทิศทางก็พลันระเบิดเสียงกรีดร้องแหลมคมอันรุนแรงออกมา

 

ผืนน้ำสั่นสะท้านในทันทีและเสียงระเบิดก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณ ทันทีที่หูได้ยินเสียงกรีดร้องเหล่านั้นอัศวินราตรีผู้ที่มีจิตวิญญาณไม่เข้มแข็งก็พลันถูกโจมตีทางจิตอย่างรุนแรงจนเกิดอาการวิงเวียน

 

“กรี๊ด”เสียงแหลมแสบหูยังคงดังต่อเนื่องไปทำให้จิตวิญญาณของผู้ที่สามารถต้านทานมันได้สั่นคลอนและลดลงอย่างรวดเร็วจนเป็นปริศนา

 

“เราต้องรีบปิดฉากมัน!”ธาซิสตะโกน แล้วได้กระโจนเข้าไปในทะเลสาบอาร์เทสอย่างไม่เกรงกลัว

 

ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็พลันปรากฏวิญญาณโปร่งแสงขึ้นที่เท้าแล้วทำให้ตัวของเขาลอยอยู่กลางอากาศได้ จากนั้นธาซิสก็ชักดาบคมออกจากฝักดาบข้างเอวอย่างรวดเร็ว

 

ราตรีนิรันดร์”ธาซิสกล่าวเปิดใช้งานดาบวิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือแล้วฟาดฟันไปยังหนวดข้างหนึ่งของเนซซี่อย่างแรงจนตัดมันขาดออกได้สำเร็จ

 

“คร้าซซซ”เนซซี่กรีดร้องคำรามดังกระหน่ำไปทั่วเวิ้งน้ำอย่างรุนแรง

 

ตู้ม!

 

พลันคลื่นยักษ์ก็บังเกิดขึ้นเป็นวงกว้างแผ่ออกมาจากตัวของมันที่กึ่งกลางแล้วพุ่งออกไปรอบ ๆ ทะเลสาบเพื่อโจมตีคนที่ซ่อนอยู่

 

อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน—นั่นคือชีวิตนี้เราลอยล่อง”นักกวีเที่ยงคืนยังคงขับขานบทกวีต่อไปเพื่อรบกวนจิตวิญญาณของเนซซี่และพยายามทำให้มันหลับใหล ขณะที่พวกเขายังต้องหลบหนีจากคลื่นน้ำสูงด้วย

 

“เซเรฟ!”ธาซิสฟาดฟันหนวดของเนซซี่จนขาดออกอีกข้าง แต่เขาไม่สามารถเข้าประชิดตัวของมันได้เลยเพราะมันจะโจมตีเขาด้วยหนวดอีกนับไม่ถ้วน

 

“เล็งที่หัวของมัน!”จากมุมหนึ่งในจุดอับสายตา ร่างโปร่งแสงสีดำสนิทที่ออกมาจากเงาของเซเรฟก็พุ่งออกมาแล้วทะลุผ่านศีรษะของเนซซี่ไปตรง ๆ

 

ตู้ม!

 

เลือดสีน้ำเงินสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศพร้อมกับหนวดนับไม่ถ้วนของมันที่ดิ้นไปมาราวกับถูกช็อต

 

“ถอยออกมา!”ธาซิสกล่าวเสียงดังเมื่อเห็นท่าทีแปลกประหลาดจากร่างของเนซซี่ตนนั้น

 

ร่างของเซเรฟปรากฏขึ้นมาจากร่างโปร่งแสงที่มีออร่าดำสนิทนั้น แล้วรีบบินออกมาให้ไกลจากร่างของเนซซี่

 

ร่างของเนซซี่ที่เต็มไปด้วยหนวดและเลือดเหนียวสีน้ำเงินก็พลันสั่นสะท้านแล้วแผ่พลังระดับสูงออกมาไปทั่วบริเวณในทันที

 

อั๊ก! อัศวินราตรีที่มีลำดับต่ำกว่า 5 ก็พลันกระอักเลือดออกมาทุกคนแล้วสลบลงไปในทันที

 

พลันหัวที่ถูกแทงทะลุผ่านของเนซซี่ก็สมานกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่แปลกไปคือตามร่างกายของมันนั้นพลันปรากฏลวดลายสัญลักษณ์แปลกประหลาดและลึกลับออกมา

 

และนอกจากหนวดจำนวนนับไม่ถ้วนของมันเองนั้น มันยังมีขนสีขาวซีดผุดขึ้นมาตามลำหนวดอีกด้วย แถมหลังบริเวณทรงกลมที่เป็นศีรษะของมันยังมีกระดูกงอกออกมาสองข้างในลักษณะเดียวกันกับปีกอีก!

 

“คำราม!”พริบตาเดียวที่เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ลำแสงสีขาวซีดก็พุ่งออกมาจากดวงตากลมของมันพุ่งเข้าหาร่างของเซเรฟที่อยู่ใกล้ที่สุดในทันที

 

และมันก็แผดเผาร่างของเซเรฟโดยตรง!

 

เพล้ง!

 

ทันใดนั้นทุกอย่างก็แตกร้าวราวกับกระจกที่แตกและเสียงแตกของแก้วก็ดังสนั่นไปทั่ว

 

ออร่าสีดำสนิทและความเงียบสงบค่อย ๆ กลับคืนสู่ร่างของธาซิสและทุกคนที่บาดเจ็บและสลบก็ตื่นขึ้นมาในทันที

 

เมื่อครู่คือความฝัน!

 

“คร๊าซซ”เนซซี่ตื่นขึ้นจากความฝันที่ครอบงำด้วยอารมณ์เดือดพล่าน หนวดของมันเริ่มโจมตีอย่างไม่รู้จักพอแล้วยืดออกยาวจนถึงป่ารอบ ๆ ทะเลสาบแล้วเริ่มพังทลายป่ารอบ ๆ เพราะมันคิดว่ามีคนซ่อนอยู่อีก

 

เช่นเดียวกันกับดวงตาพิฆาตของมันที่เปล่งลำแสงสีซีดออกมาเมื่อมันเหลือบไปเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่พยายามก่อกวนมัน

 

“อย่าจ้องมองมันตรง ๆ”ธาซิสกล่าวเตือนคนอื่น ๆ ขณะที่เขายังคงจ้องมองมันไม่ละสายตาด้วยแววตาครุ่นคิด

 

นี่ไม่ใช่แค่เนซซี่ธรรมดาแล้ว...

 

“ท่านรองผู้บัญชาการ...”เซเรฟปรากฏกายขึ้นข้าง ๆ ธาซิสด้วยสีหน้าอ่อนล้า และเหงื่อที่ปรากฏขึ้นบนขมับ

 

“ข้าว่าลำพังแค่พวกเราไม่ก็สามารถปราบปรามมันได้แน่ นี่ไม่ใช่เนซซี่ธรรมดา”คำกล่าวของเซเรฟทำให้หัวใจของธาซิสดิ่งลง

 

“เจ้ารีบกลับไปเรียกกำลังเสริมมา... หากนี่ไม่ใช่เนซซี่ธรรมดาจริง ๆ ข้าก็เกรงว่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการของมันและอาจจะมีความมุ่งร้ายต่อเมืองของเรา”น้ำเสียงของธาซิสนั้นสั่นไหวอยู่เล็กน้อย

 

“เราต้องปราบมันให้ได้ ไม่อย่างงั้นมันจะกลายเป็นอาวุธสำคัญที่ใช้ทำลายเมืองของเรา”

 

“ครับ”เซเรฟกล่าวตอบแล้วรีบเดินทางออกไปในทันที

 

“ทุกคนเฝ้าระวัง อย่าพึ่งโจมตีมันตรง ๆ และอย่าพยายามจ้องมองมันตรง ๆ เด็ดขาด!”ธาซิสหันมาสั่งอัศวินราตรีคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ครับ!”

 

แต่ไม่ทันไร เนซซี่ที่บ้าคลั่งก็เริ่มเปิดการโจมตีอีกระลอกแล้ว!

 

“คำราม!”เสียงคำรามแสบหูของมันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นอกจากจะสร้างภาระให้กับพลังจิตวิญญาณของผู้ที่ได้ยินแล้ว มันยังสร้างแรงสะเทือนจนเกิดเป็นคลื่นน้ำยักษ์อีกรอบ

 

มันบังคับให้อัศวินราตรีที่หลบซ่อนอยู่ต้องเผยตัวออกมา!

 

“ระวังลำแสงสีซีดของมันให้ดี!”

 

เมื่อร่างของอัศวินแห่งราตรีทุกคนถูกบังคับให้หลบหนีออกมาจากที่ซ่อนเพราะคลื่นน้ำถล่มทลายพื้นที่รอบ ๆ ทั้งหมด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะหันไปเล่นงานทุกคนอย่างไร!

 

“ท่านรองผู้บัญชาการ!”เสียงของเซเรฟดังขึ้นอีกครั้งไม่ไกลจากธาซิสทำให้ธาซิสสับสน

 

“ข้ากลับไม่ได้... มีม่านพลังบางอย่างขวางกั้นอยู่รอบ ๆ!”เซเรฟปรากฏกายขึ้นด้วยสีหน้าหมดหนทาง

 

“เห็นทีจะมีผู้อยู่เบื้องหลังจริง ๆ สินะ”ธาซิสเหลือบมองไปยังร่างของเนซซี่ด้วยสายตาวิเคราะห์

 

จากนั้นคลื่นน้ำจากทะเลสาบก็ซัดเข้าหาพื้นดินและป่ารอบ ๆ อย่างแรงจนต้นไม้โค่นล้มลงและอัศวินแห่งราตรีต้องเผยตนออกมา!

 

“คำราม!”ภายใต้เสียงหวีดร้องแสบหูที่รบกวนพลังจิต ดวงตาสีซีดของเนซซี่ที่บ้าคลั่งก็ปล่อยลำแสงสีซีดออกมาเพื่อโจมตี

 

“หลบ!”ธาซิสตะโกนแล้วส่งวิญญาณที่ตนควบคุมอยู่ไปกำบังเอาไว้

 

ตู้ม!

 

แสงสีซีดพุ่งเข้าหาร่างวิญญาณนั้นอย่างแรงและแผดเผามันไปด้วยเพลิงสีซีดภายในเวลาไม่กี่นาที!

 

“เห็นทีต้องทุ่มสุดตัวแล้วล่ะ...”เขากล่าวเสียงกระซิบ

 

แล้วเริ่มเปิดฉากโจมตีสวนกลับ!

 

 

 

 

“นั่น... นั่นใช่เนซซี่จริง ๆ หรือ?”ลอเรนซ์ที่ลอบตามออกมาแอบมองไปยังร่างของเนซซี่จากที่ไกล ๆ ด้วยความเป็นห่วง ขณะที่นางเริ่มวิ่งด้วยความเร็วที่มากขึ้นเพื่อพยายามไปให้ใกล้มากที่สุด

 

ตึง!

 

แต่แล้วนางก็วิ่งชนบางอย่าง ไม่สิ ทางข้างหน้านั้นไม่มีอะไรเลยต่างหากแต่...

 

“นี่คือ?”คิ้วของลอเรนซ์ขมวดเข้าหากันอย่างสับสนและตื่นตระหนก

 

ม่านพลังนี่ขัดขวางข้าไม่ให้เข้าไปงั้นหรือ? ริมฝีปากของนางเม้มเข้าหากัน

 

ตู้ม!

 

เสียงระเบิดที่ดังสนั่นแว่วมาทำให้หัวใจของลอเรนซ์สั่นสะท้าน

 

“ถ้าเป็นเนซซี่ธรรมดาพวกเขาคงจะปราบมันได้นานแล้ว... นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”หญิงสาวพึมพำด้วยความร้อนรนและตื่นตระหนก

 

“ข้าจะทำยังไงดี?”ในห้วงความคิดที่วุ่นวายของนาง จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

 

หญิงสาวพยายามควบคุมอาการสั่นของร่างกายตนเองแล้วหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเก็บของที่นางสะพายมาด้วย

 

มันคือเทียนไขและถาดเงิน!

 

ลอเรนซ์จัดสถานที่สำหรับสวดภาวนาอย่างรวดเร็วด้วยความเชี่ยวชาญ ก่อนที่นางจะนั่งคุกเข่าลงและเริ่มสวดภาวนา

 

“โอ้ องค์เทพธิดาแห่งราตรีกาลผู้เป็นนิจนิรันดร์”

“พระผู้ทรงมหิศรท่ามดวงดาวพร่างฟ้า, พระมารดาแห่งการปกปิดและความลับ, จักรพรรดินีแห่งความโชคร้ายและความสยองขวัญ”

“ท่านหญิงแห่งนิทรารมณ์และความเงียบสงบ”

“ผู้ศรัทธาผู้ภักดีและซื่อสัตย์ของท่านภาวนาถึงท่านด้วยใจอันเปี่ยมศรัทธา”

“ขอพระเทวีทรงเมตตาและประทานพรให้แก่ข้า”

“โปรดสดับฟังคำภาวนาของข้าด้วยเถิด...”

 

ทันใดนั้นเปลวเพลิงบนเทียนไขที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอย่างพิศวง

 

ลอเรนซ์กลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบากเพราะนางสังเกตเห็นแล้วว่าพิธีกรรมของนางนั้นได้รับการตอบสนองจริง ๆ

 

“องค์พระเทวีผู้ทรงเมตตา ผู้ศรัทธาที่ภักดีของท่านทั้งหลายกำลังกระทำภารกิจเสี่ยงตายเพื่อปราบปรามเนซซี่ สัตว์ประหลาดที่ชั่วร้าย... แต่พวกเขากำลังจะพลาดพลั้ง”

 

ลอเรนซ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ด้วยความลุ้นระทึก

 

“ข้าภาวนาว่าพวกเขาจะได้รับความรอด... ข้าวิงวอนต่อท่านองค์พระเทวี ได้โปรด!”

 

“ได้โปรดทรงทอดพระเนตรลง ได้โปรดช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด

 

พลันลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านเข้ามาหาเธอทำให้เปลวเพลิงสีน้ำเงินลุกโชนขึ้นอย่างยิ่งยวด

 

และเสียงกระซิบหนึ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูของนาง

 

“ข้าเห็นแล้วบุตรี”

 

“อา..”ดวงตาที่สั่นคลอของลอเรนซ์พลันเบิกกว้างขึ้น

 

พิธีกรรมของนางประสบความสำเร็จ!  องค์เทพีได้ตอบสนองแล้ว!

 

 

 

 

 

 

 

วิหารแห่งดวงดารา เมืองเซเลส

 

“โอ้ องค์เทพีแห่งรัตติกาลนิจนิรันดร์...”อัครมุขนายกอัสเตรอุสที่กำลังสวดภาวนาอยู่ก็พลันหยุดชะงักไปด้วยความตื่นตระหนก

 

ชายวัยกลางคนลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องมองไปยังตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลที่เรืองแสงสว่างออกมาอย่างงดงามและศักดิสิทธิ์ ด้วยแววตาเปล่งประกายและศรัทธา

 

“โอ้องค์พระเทวี... พระองค์ทรงกลับมาแล้ว!”

 

 

 

 

 

 

 

“คร๊าซซซ!”เนซซี่เปิดฉากโจมตีด้วยดวงตาพิฆาตของมัน

 

ทันใดนั้นเองลำแสงสีซีดก็พุ่งตรงมายังร่างของธาซิสด้วยองศาที่แม่นยำ!

 

รัตติกาลนิรันดร์!”ร่างของธาซิสพลันสลายกลายเป็นเงา แล้วหลบการโจมตีนั้นได้อย่างหวุดหวิด

 

“เราเข้าประชิดตัวของมันไม่ได้เลย!”เสียงตะโกนของอัศวินราตรีที่อยู่รอบ ๆ ดังขึ้นด้วยความสิ้นหวัง

 

“องค์พระเทวีโปรดประทานพรด้วย!”

 

“คำราม!”เสียงกรีดร้องของเนซซี่ดังขึ้นไม่เว้นช่วง ธาซิส เซเรฟและคนอื่น ๆ รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงพลังจิตวิญญาณของพวกเขาที่เริ่มเสื่อมถอยลงอีกระลอก

 

“เซเรฟ...”จู่ ๆ ธาซิสก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

“?”เซเรฟที่ตั้งท่าเพื่อหลบการโจมตีของเนซซี่อยู่ก็พลันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเรียกของธาซิส

 

“ปกป้องทุกคนที.. ข้าจะต้องใช้วิธีนั่นแล้ว”คำพูดของธาซิสทำให้ดวงตาของเซเรฟเบิกกว้างขึ้น

 

“แต่!”

 

“ไม่หรอก... นี่คือหน้าที่ของข้า”ธาซิสแสดงรอยยิ้มอ่อนแล้วสั่นศีรษะให้กับคำพูดที่ยังไม่ทันได้กล่าวออกมาของเซเรฟ

 

เขาเหลือบไปมองเนซซี่ที่บ้าคลั่งเป็นครั้งสุดท้าย และตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

 

วิธีนั่นที่เขาจะใช้คือการเปิดใช้งานร่างสัตว์ในตำนาน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับมันได้

 

แม้ว่ามันจะหมายถึงการที่เขาจะต้องสละชีวิตของตนก็ตาม

 

แต่ทันใดนั้นเอง ไม่ทันที่ธาซิสจะได้ก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับได้

 

น้ำเสียงก้องกังวานและสงบสุขก็ดังขึ้นในก้นบึ้งจิตใจของทุกคน

 

ความลับ

 

น้ำเสียงสงบลึกซึ้งและไพเราะราวกับเพลงกล่อมดังขึ้นและก้องกังวานไปทั่ว ทันใดนั้นเองกลิ่นอายแห่งความสงบและการหลับใหลก็ปรากฏขึ้นไปทั่วบริเวณอย่างไม่ทราบสาเหตุ

 

ดวงตาของธาซิสเบิกกว้างขึ้นเมื่อเขาสังเกตเห็นบางสิ่ง

 

“นั่น...”คำพูดของเขาติดอยู่ที่ปาก

 

ทันใดนั้นสายตาทุกสายตาก็จับจ้องไปยังร่างของเนซซี่!

 

ที่เบื้องหน้าร่างของสัตว์ประหลาดซึ่งประกอบไปด้วยหนวดนับไม่ถ้วนและขนสีซีด พลันปรากฏร่างอันงดงามของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นอย่างเงียบงัน

 

หญิงสาวมีเส้นผมสีดำสนิทยาวไปจนถึงปลายเท้าเปลือยเปล่าแต่สะอาดสะอ้าน นางสวมผ้าสีดำราบเรียบเป็นชุดราวกับนักบวชหญิง มีเถาวัลย์ไม้สีน้ำตาลพันรอบเอวเป็นเข็มขัด

 

ทันทีที่ร่างของนางปรากฏขึ้น เนซซี่ที่บ้าคลั่งก็พลันสงบลงและตกสู่การหลับใหลในทันใด กลิ่นอายแห่งความสงบและการหลับใหลแผ่กระจายไปทั่วทุกที่และไม่มีสิ่งใดปิดบังได้

 

ครื้น!

 

ครื้น- เพล้ง!

 

ทันใดนั้นเองปราการสีใสที่มองไม่เห็นซึ่งปกคลุมพื้นที่โดยรอบอยู่ก็พลันเกิดรอยร้าวและแตกออกในทันที

 

บริเวณทะเลสาบอาร์เทสจึงหลุดพ้นการปิดกั้นโดยสมบูรณ์

 

พระองค์ท่านคือ...”ริมฝีปากของเซเรฟเม้มเข้าหากันขณะที่เหม่อมองไปยังร่างของหญิงสาวที่ปรากฏ

 

นางลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบงันโดยไม่ต้องพึ่งปีกหรือวิญญาณ ทันใดที่นางปรากฏขึ้นทุกสิ่งก็ตกสู่ความสงบและการหลับใหล

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางคือใคร!

 

จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก ทูตสวรรค์แห่งความลับ ผู้ที่ได้รับการพรรณนาไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน และมีฐานะทัดเทียมกับ ทูตสวรรค์แห่งปาฏิหาริย์ !

 

ภายใต้สายตาจับจ้องของอัศวินราตรีทุกคน หญิงสาวผู้ลึกลับได้ยื่นมือออกมาด้านหน้าอย่างช้า ๆ ไปยังทิศที่เนซซี่กำลังหลับใหลอยู่

 

พลันร่างของเนซซี่ก็ค่อย ๆ ถูกลบออกไปที่ละส่วนราวกับภาพที่ถูกยางลบลบออกไปจากพื้นหลังจนไม่เหลือ

 

นี่คืออำนาจความลับ!

 

จากนั้นหญิงสาวผู้ลึกลับก็หันหน้าออกมาจากจุดที่เคยมีร่างของเนซซี่อยู่ แล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยความเงียบงัน

 

ซาลิงเกอร์...

 

เสียงพึมพำแผ่วเบาของนางนั้นไม่มีใครสามารถตีความได้แต่กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นชื่อของบางสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ได้

 

จากนั้นร่างของหญิงสาวก็ค่อย ๆ ถูกลบออกไปเช่นกัน

 

เมื่อร่างของนางหายไป ทุกสรรพสิ่งก็กลับคืนสู่สภาวะเดิม

 

กลิ่นอายแห่งความเงียบสงบและการหลับใหลลาจากไปแล้ว ไม่มีแรงกดดันใด ๆ หรืออันตรายอื่นใดอีก!

 

“สรรเสริญพระเทวี...”อัศวินแห่งราตรีทุกผู้สวดภาวนากันอย่างบ้าคลั่งขณะที่วาดสัญลักษณ์ศักดิสิทธิ์แห่งราตรีบนหน้าอกกันทุกผู้ด้วยหัวใจที่เปี่ยมศรัทธาอย่างแรงกล้า

 

“สรรเสริญพระเทวี”

 

 

 

ขณะที่อัศวินแห่งราตรีทุกคนกำลังสวดภาวนานั้นเอง ในเงามืดร่างสีซีดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายก็พลันจากไปอย่างเร่งรีบพร้อมกับบานประตูลวงตาลึกลับ

 

เมื่อร่างสีซีดจากไปแล้ว ร่างของหญิงสาวผู้ลึกลับคนนั้นก็ปรากฏขึ้นจากอากาศบาง ๆ และจ้องมองไปยังบริเวณที่ร่างสีซีดเคยอยู่ด้วยความเฉยเมย ก่อนที่นางจะจากไปด้วยวิธีการเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

พวกเขาขาดเสื้อผ้าและอาหาร” น้ำเสียงของนักบวชภายในวิหารแห่งดวงดาราดังขึ้นด้วยความสงบ

 

ไม่มีที่พักพิงท่ามกลางความหนาวเย็น เปียกโชกไปด้วยสายฝน และต้องเบียดเสียดกันตามโขดหินเพราะขาดที่พักพิง” บทสวดภาวนายังคงดังกระหึ่มและกังวาน ที่ซึ่งรัตติกาลได้ปรากฏในฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราเจิดจรัส

 

พวกเขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกพรากจากอก”ผู้คนทั่วทั้งเมืองเซเลสได้มารวมตัวกันที่หน้าวิหารแห่งดวงดาราด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาทุกผู้ และทุกคนต่างถือโคมเทียนส่องสว่างกันคนละดวง

 

ความหวังสูญสิ้น”บทสวดภาวนาจากนักบวชยังคงดังก้องกังวานต่อไปทั่วบริเวณ ทำให้จิตใจของผู้ศรัทธาทุกคนบริสุทธิ์ขึ้นและตกสู่สภาวะแห่งความสงบ แต่ยังมีคนผู้หนึ่งที่หัวใจไม่อาจเข้าสู่ความสงบได้

 

พวกเขาจะปลอดภัย.. ลอเรนซ์ภาวนาอยู่ภายในใจขณะที่เฝ้ารอกองอัศวินราตรีหน่วยที่ 1 อยู่นอกฝูงชนที่ด้านหน้าวิหารแห่งดวงดาราด้วยหัวใจที่เต้นตึกตักและเฝ้าคอย

 

พวกเขาจะมา... นางพร่ำบอกตนภายในใจ

 

พวกเขาคือคนยากจนที่ถูกบังคับให้ออกจากเส้นทางที่ถูกต้อง”ท่ามเสียงสวดภาวนาอันดังกังวานกระหึ่มไปทั่ว ทันใดนั้นเองในดวงตาของนางก็พลันสะท้อนซึ่งแสงสว่างวาบวามหลายดวงที่ปรากฏขึ้นอยู่หน้าทางเข้าเมืองฝั่งทิศตะวันตก

 

ร่างของอัศวินราตรีหลายคนก็ปรากฏขึ้น บางคนถูกพยุงเข้ามา บางคนถูกหามและอุ้ม บางคนบาดเจ็บ และบางคนแสดงสีหน้าเหนื่อยหล้าออกมา แต่กระนั้นไม่มีใครเสียชีวิต

 

ร่างที่โดดเด่นที่เดินนำมาเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ธาซิสและเซเรฟ ซึ่งทั้งสองค่อนข้างอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอม แต่ก็ไม่ได้อันตรายร้ายแรงถึงขั้นต้องถูกหาม

 

พวกเขาจะมา ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายระยิบระยับด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปีติยินดี

 

กระนั้นราตรีนิจนิรันดร์ก็มิได้ทอดทิ้งพวกเขา”

 

“แต่ทรงประทานความเมตตาอันเป็นนิรันดร์ให้ด้วยพระองค์เอง

 

“สรรเสริญพระเทวีผู้เปี่ยมเมตตา...”

 

“โอ้ เทพีแห่งราตรีกาลผู้เป็นนิจนิรันดร์”

 

“พระผู้ทรงมหิศรท่ามดวงดาวพร่างฟ้า , พระมารดาแห่งการปกปิดและความลับ, จักรพรรดินีแห่งความโชคร้ายและความสยองขวัญ”

 

“ท่านหญิงแห่งนิทรารมณ์และความเงียบสงบ”

 

 

 

 

“คุณพร้อมแล้วหรือยัง?”ไคลน์ในรูปลักษณ์ของนักมายากลพเนจรอย่างเมอร์ลิน เฮอร์มิสกล่าวถามหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ท่ามกลางเสียงสวดภาวนาของผู้ศรัทธานับร้อยนับพันคน

 

“ฉันตั้งตารอเวลานี้มานานแล้วล่ะ”หญิงสาวผู้งดงามกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสดใสขณะที่ดวงตาสีเขียวสว่างของนางสะท้อนซึ่งแสงเทียนที่เปล่งประกายของผู้ศรัทธาทุกคนที่มาชุมนุมกันที่หน้าวิหารแห่งดวงดารา

 

“งดงามมากเลยว่าไหม?”นางกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่ยังคงจ้องมองฝูงชนในยามราตรีที่ซึ่งแสงเทียนได้แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาโดยไม่วางตา

 

นั่นสินะ... รอยยิ้มอ่อนปรากฏขึ้นที่มุมปากของเมอร์ลิน เฮอร์มิส ขณะที่เขาเลื่อนสายตามองเข้าไปยังวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบข้าง ๆ ด้วยสายตาลึกล้ำ

 

จากนั้นเมอร์ลินยื่นขวดแก้วที่บรรจุโอสถสีเขียวให้กับหญิงสาวผมสีน้ำตาลสุกสว่างและมีนัยน์ตาสีเดียวกับมัน

 

ซิลเวีย หรือที่รู้จักกันในนาม ลิลิธ ก็รับขวดโอสถมาแล้วกระดกดื่มเข้าไปรวดเดียวภายใต้เสียงดังกังวานสะท้อนไปทั่วบริเวณของผู้ศรัทธานับพันนั้น

 

ในวิหารอันสะอาดและสงบของเทพธิดาแห่งรัตติกาล วิหารแห่งดวงดาราที่คนในเมืองทุกคนต่างมารวมตัวกันเพื่อฉลองในวันของขวัญแห่งฤดูหนาว อันเป็นวันที่เทพธิดารัตติกาลได้ตื่นขึ้นมาเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ หรือที่สหายของพระนางจะรู้จักกันในนามว่า วันคล้ายวันเกิด นั่นเอง

 

ตราสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งราตรีกาลอันเป็นรูปดวงดาวสีเงินก็เปล่งประกายขึ้นอย่างเงียบงัน

 

 

 

 

 

 

ที่ไหนสักแห่งในความลับที่ซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งดอกวานิลลาย่ำราตรีสีขาวบริสุทธิ์ ร่างอันสง่างามของหญิงสาวที่สวมชุดเดรสสีดำสนิทนั่งอยู่

 

นางมองผ่านดวงประทีปแห่งคำภาวนาลงไปสู่โลกความจริงด้วยสายตาอันอ่อนโยนที่ลอดผ่านม่านอำพรางพร่ามัวที่ปิดบังใบหน้าของนางไว้

 

หลังศีรษะของนางคือรัศมีทรงกลมสีแดงฉานขนาดใหญ่กำลังหมุนวนไปอย่างช้า ๆ ในมือของนางทั้ง 6 ต่างก็ถือวัตถุบางอย่างอยู่ ทั้งดวงจันทร์สีแดงชาด เคียวสีดำสนิท ดอกไม้สีขาว และสีเงิน

 

ในมือข้างหนึ่งนางถือขวดโอสถสีดำสนิทที่ปั่นป่วนเอาไว้อยู่

 

เมื่อสิ้นเสียงภาวนาอันกึกก้องกังวานภายในหูของนางจากผู้ศรัทธานับไม่ถ้วน นางก็แผ่จิตวิญญาณของตนลงไปบนดวงประทีปแห่งศรัทธาเหล่านั้น จนเกิดเป็นคลื่นพลังงานแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง

 

นางเข้าสู่สถานะที่เสถียรและมั่นคงสูงสุดแล้ว

 

ภายใต้การตัดสินใจขั้นสุดท้าย นางก็ดื่มโอสถที่บรรจุในขวดแก้วลงไปโดยไม่รีบร้อน

 

ภายใต้เสียงสวดภาวนาอันศรัทธาและเงียบสงบ

 

“ขอให้ดวงดาราเจิดจรัสในห้วงฟ้าราตรีกาลอันยาวนาน”

 

“แลเพราะจุดหมายปลางทางเพียงหนึ่งเดียวนั้นคือ..”

 

ความเงียบสงบ

Notes:

สรรเสริญเทพธิดา!!

ตอนแรกกะจะแยกบทนี้ออกเป็นสองบท แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันอาจจะยืดไปเลยรวบรัดตัดตอนให้เป็นตอนเดียวไปเลย มันก็จะยาว ๆ หน่อยนะ lol

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน

โปรดติดตามตอนต่อไป~

Chapter 17: ในรอบศตวรรษ

Summary:

ไคลน์และกรีชาพบกันอีกครั้ง

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

กาลเวลาผ่านพ้นไปไหลเรื่อยไม่มีหยุดนิ่งเหมือนกับสายน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ อารยธรรมมนุษย์ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของกรีชาและไคลน์นั้นก็ได้เริ่มพัฒนาไปไกลแล้ว

 

ภายในเวลา 500 ปี จากเมืองเล็ก ๆ ก็ได้พัฒนาเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้อยู่อาศัยนับแสนคน มีการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีหัวใจหลักในการปกครองคือสภาผู้อาวุโส ศาสนจักรที่ซึ่งมีศรัทธาในกรีชาและไคลน์ก็ได้รับการสถาปนาอย่างสมบูรณ์แล้วโดยมีจุดเริ่มต้นจากนครแห่งรุ่งอรุณและวิหารพระอาทิตย์ โดยได้รับการสถาปนาขึ้นในนามว่า ศาสนจักรแห่งทวิภาคปฐมเทพ

 

โดยเทพสุริยันและเทพแห่งความเร้นลับคือสองเทพเจ้าที่แบ่งปันความศรัทธาร่วมกัน ดังนั้นหากถามมนุษย์ปุถุชนคนใดแล้วว่าศรัทธาในเทพสุริยันก็ไม่แคล้วที่จะพบคำตอบอีกว่าคนคนนั้นยังมีศรัทธาในเทพแห่งความเร้นลับด้วยเช่นเดียวกัน

 

สองเทพได้กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแห่งใหม่ของมวลมนุษยชาติที่ได้รับความรอดภายใต้แสงสุริยันอันเจิดจรัสและโอกาสแห่งชีวิตที่ถูกจุดประกายขึ้นด้วยพระพรอันเปี่ยมด้วยพระกรุณาและเมตตา

 

และนั่นคือสองเทวาที่นั่งเคียงข้างกันบนบัลลังก์เทพเจ้าในสรวงสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ คอยปกปักษ์รักษาความเป็นไปของมวลมนุษย์และคอยชี้แนะแนวทางแห่งอนาคตอย่างลับ ๆ

 

ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาจะไม่ได้นั่งบนบัลลังก์เทพ‘เดียวกัน’ก็ตามที

 

“ไม่เจอกันนาน...”ดวงตาสีทองระยิบระยับของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ขณะที่เขาทอดมองไปยังสามกายาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า

 

5 ศตวรรษผ่านพ้นไปแล้วกรีชา...”ไคลน์เหลือบสายตามองไปยังร่างสูงสง่าอันสูงส่งแห่งเทพสุริยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เทพข้าง ๆ พร้อมกับเอ่ยข้อเท็จจริงบางอย่างออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

 

ดวงนัยน์วาวโรจน์แห่งสุริยะเทพเปล่งประกายฉายแววแห่งความคิดถึงเมื่อได้ยินน้ำเสียงของบุคคลที่ตอนเฝ้าถวิลหาตั้งแต่แรกพบหน้า แล้วรอยยิ้มก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันสงบนิ่งของเจ้าตัว

 

เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่สัพพัญญูของฉันก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้”กรีชากล่าวตอบไคลน์ด้วยน้ำเสียงสุขุม

 

“ไม่คิดเลยว่าจะใช้เวลาไปนานถึง5ศตวรรษ ฉันขอโทษที่ไม่สามารถมาร่วมประชุมกับพวกคุณได้ในหลายร้อยปีที่ผ่านมา”คำพูดดังกล่าวของสุริยะเทพเต็มไปด้วยความจริงใจที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากการดำรงอยู่ระดับสูงเช่นนี้

 

“พวกเราเข้าใจ และก็ดีแล้วที่เรื่องนั้นที่ท่านทำประสบความสำเร็จ ขอแสดงความยินดี”เทพีรัตติกาลที่พึ่งได้รับการเลื่อนลำดับสู่ลำดับ 1 อัศวินแห่งความโชคร้ายเมื่อไม่กี่เดือนก่อนกล่าวขึ้นด้วยความเข้าใจและความยินดี

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย!”ลิลิธกล่าวแสดงความยินดีต่อจากอามานิสในทันทีด้วยน้ำเสียงร่าเริงและสดใส เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของนางเปล่งประกายระยิบระยับด้วยประกายแสงสีเขียวอ่อน และดวงนัยน์ตาวาวโรจน์ของนางก็มีรัศมีสีทองจาง ๆ

 

เห็นได้ชัดว่าในระหว่างพิธีกรรมที่จัดขึ้นในวันของขวัญแห่งฤดูหนาว ลิลิธได้รับการเลื่อนขั้นเป็นลำดับ 4 นักแปรธาตุดั้งเดิมได้สำเร็จแล้ว และความเป็นเทพรวมถึงอำนาจพื้นฐานบางอย่างของนางก็ได้รับการเติมเต็มทำให้ร่างกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงไปบ้างซึ่งจะชัดเจนเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใกล้กับลำดับ 0

 

“...”กรีชาหันหน้าไปหาบุคคลอีกบุคคลเดียวที่ยังไม่ได้กล่าวแสดงความยินดีกับตัวของเขา ด้วยสายตานิ่งสงบทว่ากลับแฝงไปด้วยประกายแห่งความต้องการบางอย่างภายในนั้น

 

ไคลน์เหลือบมองไปยังกรีชาอีกครั้งด้วยหางตา ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วกล่าวว่า

 

“ขอแสดงความยินดี..”ใบหน้าภายใต้ม่านหมอกสีขาวอมเทานั้นดูบึ้งตึงเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้สีหน้าของสุริยะเทพดูเบิกบานอย่างน่าประหลาด

 

หากจะให้อธิบายคงต้องกล่าวย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีก่อนที่ทุกคนจะขาดการติดต่อกับกรีชาไปชั่วขณะหนึ่ง

 

ดูเหมือนหลังจบการประชุมในสภาแห่งเทพครั้งล่าสุดของกรีชา สุริยะเทพคนนี้กำลังสร้างบางสิ่งบางอย่างซึ่งแผนการนั้นไม่ได้ถูกอภิปรายหรือกล่าวถึงในสภาแห่งทวยเทพมาก่อน

 

และพอกรีชาได้ลงมือทำจริง ๆ มันก็ทำให้เกิดความผิดปกติในการคำนวณเวลาเล็กน้อย กรีชาไม่สามารถติดต่อกับทะเลแห่งความโกลาหลได้สักพักหนึ่งทำให้สัพพัญญูของเขาล้มเหลวนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ในระหว่างการทดลองบางอย่างของเขามันทำให้เขาหลงลืมเวลาไปหลายร้อยปี

 

กอปรกับความเป็นเทพที่เอ่อล้นอยู่แล้ว การที่กรีชาได้หลงใหลในการทดลองดังกล่าวก็ยิ่งทำให้เขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นมากเสียจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง

 

จนกระทั่งถึงวาระการประชุมอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีกรีชามา ไคลน์จึงเป็นผู้ลงมาหากรีชาด้วยตนเองพร้อมกับความกังวลและสับสนที่ว่าทำไมกรีชาถึงหายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเอาไว้ก่อนล่วงหน้า

 

ไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ ที่ปกติแล้วกรีชาจะทำเอาไว้สำหรับไคลน์เมื่อไคลน์มาหาเขาถึงที่ แน่นอนว่าความผิดปกตินี้ไคลน์ได้สังเกตนัก แต่ทุกครั้งที่ไคลน์มาหากรีชาภายในนครแห่งรุ่งอรุณ กรีชาจะเป็นผู้ออกมาต้อนรับไคลน์ด้วยตนเองเสมอ

 

กระทั่งไคลน์ค้นพบว่ากรีชากำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่ภายในส่วนลึกที่สุดของโลกดารา ซึ่งเขาได้ออกตามหาไปทั่วแต่ไม่พบและไม่สามารถใช้อำนาจในการทำนายเพื่อตามหาได้เพราะกรีชากำลังใช้อำนาจที่สูงกว่าสกัดกั้นการทำนายเอาไว้

 

เมื่อไคลน์ค้นพบเขาจึงได้บุกเข้าไปภายในอาณาเขตนั้นและได้พบว่ากรีชากำลังทดลองเพื่อสร้างบางสิ่งอยู่

 

ไม่สิ

 

กรีชาไม่ได้สร้างบางสิ่งขึ้นมาหรอก แต่เขากำลังสร้างชีวิตใหม่ต่างหาก

 

ชายหนุ่มผมสีดำสนิทและผิวสีขาวซีดกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงหินอ่อนสลักท่ามกลางความบิดเบี้ยวและห้วงเวิ้งว้างแห่งโลกดาราภายใต้อาณาเขตที่ได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์จากผู้ครอบครองอภิสิทธิ์ในการควบคุมโลกดาราแห่งนี้

 

กรีชากำลังหมกมุ่นอยู่กับการสร้างซาสรีย์!!

 

ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการรบกวนไคลน์จึงกล่าวทักทายไว้กับกรีชาแล้วบอกว่าเขาควรจะพักผ่อนบ้างก่อนที่จะออกไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของกรีชา แต่จากคำพูดดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่าไคลน์ไม่คิดว่ากระบวนการสร้างกรีชาจะใช้เวลายาวนานถึงขนาดนั้น!

 

จนถึงวันนี้ 5 ร้อยปีผ่านพ้นไปแล้วและกรีชาก็พึ่งจะสำเร็จสิ่งที่เขาได้ตั้งใจทำอย่างหมกมุ่นนั้น

 

การกระทำดังกล่าวของกรีชาทำให้ไคลน์รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยกับตัวเอง ส่วนของความเป็นมนุษย์กำลังร้องประท้วงบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้อย่างแน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะไปคุยกับกรีชาอย่างง่ายดายแบบนั้นหลังจากสิ่งที่กรีชาทำเอาไว้กับเขาตั้ง 500 ปี

 

นั่นคือการที่ปล่อยไคลน์ไว้คนเดียวกับภารกิจดูแลและจัดการความเป็นไปและการพัฒนานครรัฐแห่งรุ่งอรุณนั้น ตลอด 500 ปีที่ผ่านมา

 

และถึงแม้ตัวของไคลน์เองจะไม่รู้ก็เถอะ แต่อามานิสกับลิลิธก็มองออกว่าไคลน์ก็แค่รู้สึกน้อยใจกรีชาก็เท่านั้น...

 

น้อยใจในเรื่องที่ว่ากรีชาได้กระทำบางสิ่งไปโดยไม่ได้บอกเขาก่อนล่วงหน้า ซึ่งสิ่งที่กรีชาได้ทำนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเสถียรภาพของเจ้าตัวเองและถ้ามีอะไรผิดพลาดไป มันก็จะส่งผลเสียมหาศาลต่อตัวกรีชาเองไม่ใช่ใครอื่น

 

ไคลน์ก็แค่เป็นห่วงกรีชาก็เท่านั้น ซึ่งมันคือความเป็นมนุษย์ลึก ๆ ภายในใจที่ไคลน์ผู้ซึ่งไร้ประสบการณ์ด้านความรักแบบนี้จะอ่านออก

 

แน่นอนว่าถ้าอามานิสกับลิลิธมองออก กรีชาที่พึ่งออกมาจากห้องทดลองทำไมจะมองไม่ออกล่ะว่าอาการดังกล่าวที่ไคลน์เป็นอยู่คืออะไร

 

“เอาล่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีข่าวคราวความคืบหน้าอะไรมากหรอก กรีชาก็ออกมาจากห้องทดลองแล้วอย่างปลอดภัย ดังนั้น... เรามาจบการประชุมของเราในวันนี้กันเถอะ”อามานิสกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ

 

กลิ่นอายแห่งความสงบเงียบแผ่กระจายไปทั่วบริเวณอย่างเงียบ ๆ ทำให้ไคลน์รู้สึกสงบขึ้นจากอารมณ์นับไม่ถ้วนแห่งความเป็นมนุษย์ที่ได้แสดงออกมา

 

“ไว้เจอกัน”ไคลน์พยักหน้าให้กับคำพูดของอามานิส ก่อนที่เขาจะรู้ตัวอามานิสกับลิลิธก็ชิงหนีออกจากสภาแห่งเทพไปก่อนเสียแล้ว

 

ตอนนี้จึงเหลือเพียงกรีชาและไคลน์เท่านั้น

 

“ฉันไม่มีคำใดจะแก้ตัวกับคุณไคลน์...”กรีชาจ้องมองเข้าไปผ่านหมอกม่านสีขาวอมเทาที่อยู่ล้อมรอบร่างกายของไคลน์ด้วยแววตายอมรับผิด

 

จริง ๆ แล้วกรีชารู้สึกแปลกใจมากเมื่อตนเองออกมาจากการทดลองที่สำเร็จแล้วพบว่าเวลาผ่านพ้นไป 500 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากสำหรับมนุษย์ซึ่งความเป็นมนุษย์ของเขาได้บอกแต่กับความเป็นเทพมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ในชีวิตอันไร้จุดสิ้นสุดนั้น

 

“คุณไม่ต้องแก้ตัวอะไรเลย เรื่องที่คุณทำมันไม่ใช่เรื่องของฉันหรอก”น้ำเสียงของไคลน์เย็นยะเยือกไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์เหมือนแต่ก่อนเก่า ใบหน้าของชายหนุ่มแสดงออกถึงความไม่แยแสสิ่งใด

 

เมื่อเห็นการแสดงออกดังกล่าวกรีชาก็รู้ในทันทีว่าการจะง้อไคลน์คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

 

และนั่นก็เป็นความจริงเพราะเวลาที่ผ่านไปตั้ง 500 ปี สำหรับไคลน์ที่ยังคงรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้นั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน และแล้วความสัมพันธ์ที่เคยหยั่งรากเอาไว้ในใจของเขามันก็อดที่จะรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้

 

ไคลน์เคยมีกรีชาเข้ามาเติมเต็มอะไรบางอย่างที่เคยขาดหายไปแม้แต่ในไทม์ไลน์ก่อน ในยุคนี้ที่ซึ่งมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา

 

ไคลน์มีกรีชาเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ คู่หูและคนที่ไคลน์เชื่อโดยสนิทใจว่าจะไม่ทำอันตรายต่อเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากสายสัมพันธ์อันแนบแน่นและเรื่องราวที่ได้ประสบ

 

ไคลน์เคยคิดว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวของเขากับกรีชาก็คงจะเป็นเหมือนตัวเขากับลีโอนาร์ดในไทม์ไลน์ก่อนแต่... ไม่ใช่เลย ในใจลึก ๆ แล้วไคลน์ไม่ได้รู้สึกกับกรีชาอย่างที่เขารู้สึกกับลีโอนาร์ด

 

เขาไม่สามารถนิยามคำศัพท์ใดเพื่อมาใช้อธิบายความสัมพันธ์นี้ได้เพราะมันลึกล้ำกว่าที่เขาจะเข้าใจได้เสียอีก

 

และพอกรีชาขาดการติดต่อไป ไม่ได้หายตัวไปอย่างถาวรหรือไม่มีวันได้กลับมา แต่เป็นการที่ไคลน์รู้ว่ากรีชาอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรบางอย่างที่อันตรายมาก ๆ และตัวเขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแทรงได้เลยต่างหาก

 

มันทำให้ไคลน์รู้สึก... เป็นส่วนเกิน

 

ในช่วงเวลาเหล่านั้นอามานิสกำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศรัทธาและจุดยึดเหนี่ยวให้มั่นคงและสมบูรณ์ ลิลิธกำลังสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับชีวิตใหม่ในฐานะมนุษย์ที่ขาดหายไปนาน การย่อยยาและการสวมบทบาท ทั้งคู่ไม่ต้องการให้ไคลน์เข้าไปช่วยเลยแม้แต่น้อย

 

มันยิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกด้านลบในความคิดของไคลน์เข้าทุกวันและในไม่ช้าตัวเขาก็รู้ว่าตัวเองอาจจะบ้าไปแล้วแน่ ๆ

 

ไคลน์...”ดวงตาสีทองอร่ามของสุริยะเทพเปล่งประกายด้วยความทุกข์ใจและอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ของกรีชาทำให้ไคลน์หลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิด ชายหนุ่มจ้องมองไปยังร่างอันสง่างามและสูงศักดิ์ของสุริยะเทพตรงหน้าด้วยสายตานิ่งสงัด

 

“ฉันขอโทษ... ฉันผิดไปแล้วไคลน์”สีหน้าของกรีชานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและทุกข์ใจซึ่งไม่ใช่สีหน้าที่ไคลน์คิดว่าตัวเองจะสามารถพบได้ในพระผู้สร้างผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คนนั้น

 

แต่ไคลน์ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป เขาละสายตาจากกรีชาผ่านม่านหมอกนั้นและกำลังจะออกจากสภาแห่งเทพไปด้วยความเฉยเมย

 

ไคลน์”ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กรีชาก็ได้มายืนอยู่ข้าง ๆ แล้วคว้าแขนของไคลน์เอาไว้

 

ร่างของไคลน์หยุดชะงัก และความรู้สึกอันอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมแขนของตนเองไว้นั้นมันช่างน่าถวิลหาเสียเหลือเกิน

 

ได้โปรดไคลน์..”เสียงที่ตามหลังมาจากด้านหลังศีรษะของไคลน์นั้นสั่นเครือและแหบพร่า

 

ไคลน์จึงค่อย ๆ หันศีรษะกลับไปมองชายร่างสูงที่อยู่ด้านหลัง

 

โปรดอย่ามองฉัน-” 

 

ไคลน์หันมาประจันหน้ากับกรีชาด้วยความเงียบงัน

 

“-ด้วยสายตาเช่นนั้นเลย

 

ทันใดสีหน้าของไคลน์ที่นิ่งสงัดราวกับน้ำแข็งพันปีก็แสดงความตกใจออกมา

 

ร่างกายของเขาแข็งทื่อขณะที่สองแขนยังคงกอบกุมกันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

 

โอ้... เทพธิดา

 

กรีชาเขา-!

 

ร-ร้องไห้!?

Notes:

ชีวิตช่วงนี้ของผมค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย พึ่งสอบปลายภาคเสร็จและกำลังเตรียมตัวที่จะสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา การอัพเดตจึงมีความล่าช้าอยู่บ้างและจำนวนบทที่จะอัพเดตก็ค่อนข้างจะน้อย ผมจะพยายามหาเวลามาอัพเดตตอนใหม่ ๆ นะครับ

ขอบคุณที่อ่านครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~~~

Chapter 18: เคลียร์ใจ

Summary:

กรีชาและไคลน์คุยกัน

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความสุขุมและอ่อนโยนอันไร้ที่ติของกรีชาบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกังวล พร้อมกับหยาดน้ำสีใสที่ไหลรินออกมาจากดวงนัยน์สีทองอร่ามอาบไปทั่วแก้มทั้งสองข้างอย่างน่าสงสาร

 

“ค-คุณ?”ไคลน์แสดงท่าทางตกใจออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับแขนขาที่แสดงให้เห็นถึงความตะกุกตะกักอย่างทำอะไรไม่ถูก

 

ไคลน์..”กรีชายังคงใช้มือของตนกอบกุมเหนี่ยวรั้งข้อมือของไคลน์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นเขาก็คว้าร่างของไคลน์เข้ามาสวมกอดอย่างรวดเร็วทำให้ร่างของไคลน์แทบปลิวเข้าไปจมในอ้อมแขนของสุริยะเทพผู้ที่กำลังร่ำไห้อยู่

 

ฉันผิดเองไคลน์ ฉันไม่ฟังคำแนะนำของคุณ ฉันปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปตั้งหลายร้อยปีอย่างเปล่าประโยชน์ ฉันขอโทษ”น้ำเสียงของกรีชาสั่นระริกอย่างน่าเวทนา

 

ชายร่างใหญ่กว่าสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกท่วมท้นของความเป็นมนุษย์ที่หวาดกลัวการถูกทอดทิ้งและการจากลา กรีชากอดร่างเล็กของไคลน์ไว้แน่นจนจมไปกับอ้อมแขนขณะที่พร่ำบอกขอโทษไม่หยุดหย่อน

 

ฉันเพียงแค่ต้องการสร้างความประหลาดใจให้คุณเห็นก็เท่านั้น แต่ไม่คิดว่ามันจะใช้เวลานานขนาดนี้ในการสร้างเขาขึ้นมา

 

ฉันขอโทษไคลน์ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งคุณเอาไว้เพียงคนเดียว”สีหน้าของไคลน์ที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของกรีชานั้นอ่อนลงอย่างรวดเร็ว

 

ความจริงเขานั้นทำใจแข็งปั้นหน้าเย็นชาแบบนั้นใส่กรีชาได้ไม่นานหรอก แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจแบบนี้ไคลน์ก็ค่อนข้างพอใจมากแล้ว

 

แต่กระนั้นไคลน์ก็ยังไม่ได้เร่งรีบที่จะพูดอะไรไป เขากำลังรอ...

 

คุณจะไม่ยกโทษให้ฉันก็ได้ไคลน์... แต่ได้โปรด อย่ามองฉันด้วยสายตาเย็นชาไร้เยื่อใยเช่นนั้นเลย”คำพูดดังกล่าวของกรีชานั้นแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของสุริยะเทพผู้สูงศักดิ์ภายใต้ความแข็งแกร่งน่าเกรงขามแห่งเทพเจ้าได้อย่างชัดเจน

 

ถึงแม้ในช่วงแรกที่กรีชาพบว่าไคลน์ไม่ได้ให้ความสนใจเขาอย่างเคยเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาจะยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ตาม แต่พอเห็นเข้าจริง ๆ ว่าไคลน์กำลังทำท่าทีเหมือนจะตัดเยื่อใยของทั้งสองเข้าจริง ๆ กรีชาก็แทบสติแตก

 

เขาพบว่าตนเองไม่สามารถขาดไคลน์ได้

 

ไม่ใช่เพียงในแง่มุมของความเป็นมนุษย์ที่ตัวเขามีไคลน์เป็นจุดยึดเหนี่ยวที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดเท่านั้น ในแง่มุมของความเป็นเทพไคลน์ก็เป็นส่วนหนึ่งในการค้ำจุนเจตจำนงที่กำลังตื่นขึ้นภายในกายของเขาอีกด้วย

 

นอกจากนี้ความผูกพันของเขาที่ตัวเขาเองนำไปผูกเอาไว้กับไคลน์นั้นมันลึกซึ้งเสียจนตัวของเขาเองไม่สามารถไถ่ถอนได้อีกแล้ว

 

เขาตกหลุมรัก และตกสู่ห้วงวัฏจักรที่ไม่มีทางหลุดพ้นได้ตลอดกาล...

 

ดังนั้นได้โปรดไคลน์... ได้โปรด- ฉันขอโทษ

 

กรีชากอดไคลน์ไว้แน่นด้วยความกลัวว่าคนภายในอ้อมกอดจะหายวับไปได้ทุกเมื่อ ด้วยความหวาดหวั่นว่าตนจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ ด้วยความกังวลว่าตนจะอยู่ต่อไปเช่นไรหากไม่มีไคลน์ และด้วยความรักที่ตัวเขาหวาดกลัวว่าจะสูญเสียมันไป

 

“กรีชา..”และแล้วในความเงียบงันที่ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ราวกับกาลเวลาได้ถูกหยุดนิ่งไคลน์ก็เอ่ยปากขึ้นมา

 

“ฉันยกโทษให้คุณ”

 

คำพูดเดียวของไคลน์นี้ทำให้จิตใจของกรีชาได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ และถึงแม้ไคลน์จะมองไม่เห็นใบหน้าของกรีชาแต่เขาก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอย่างโล่งใจอยู่ทั้งน้ำตาแน่ ๆ

 

โดยไม่ปล่อยให้กรีชาได้กอดตัวเองไว้ฟรี ๆ อีก ไคลน์ก็ผละออกจากอ้อมกอดของกรีชาอย่างรวดเร็วราวกับสายลมที่พัดปลิวไปและไม่อาจจับต้องได้

 

“แต่ฉันจะไม่ลืมเรื่องครั้งนี้แน่นอน คุณไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว ไม่อย่างงั้นฉันจะไม่ยกโทษให้คุณเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ”ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นอย่างจริงจังด้วยใบหน้าขึงขัง

 

กรีชาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของตนด้วยสภาพที่มองไม่ได้อย่างยิ่งขณะที่พยักหน้าตาคำพูดของไคลน์รัว ๆ

 

บัดนี้สิ้นแล้วซึ่งภาพลักษณ์ของสุริยะเทพผู้สูงศักดิ์และยิ่งใหญ่ กลายเป็นเพียงภาพของชายผู้ที่หวาดกลัวว่าจะสูญเสียคนที่ตนรักไปเท่านั้น

 

“ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกไคลน์...”กรีชาให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

 

หลังจากเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของตนเองแล้ว กรีชาก็กลับเข้าสู่สภาวะสงบอย่างรวดเร็วและกลับคืนสู่ภาพลักษณ์เดิมแห่งเทพเจ้า ทว่าดวงตาของเขานั้นยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยของอารมณ์ความเป็นมนุษย์ นั้นคือความอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความโล่งใจ

 

แต่ขอบตายังแดงอยู่นะ...

 

ไคลน์แสดงรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยขณะที่หันศีรษะหนีออกจากใบหน้าของกรีชา แล้วเดินไปที่ขอบโต๊ะสำริดทรงกลมใจกลางสภาแห่งทวยเทพด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง

 

“แล้ว...”ไคลน์ค่อย ๆ หันศีรษะกลับมาหาชายร่างสูงที่อยู่ด้านหลังของตนอย่างช้า ๆ

 

“คุณจะพาฉันไปพบกับเขาคนนั้นตอนไหนกันล่ะ?”

 

คำถามดังกล่าวทำให้กรีชาแสดงรอยยิ้มออกมาหลังจากพานพบกับความเศร้าโศกอันหนักหน่วงแสนสาหัสอยู่ชั่วครู่หนึ่ง

 

สุริยะเทพสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งแล้วกล่าวตอบเทพแห่งความเร้นลับผู้งดงาม เจ้าของดวงใจของตนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า

 

“งั้นเราไปพบกับเขากันเถอะ”

 

รอยยิ้มของไคลน์กว้างขึ้นจากนั้นทั้งสองร่างก็พลันหายวับไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

 

 

นครรัฐแห่งรุ่งอรุณ มหาวิหารสุริยะเจิดจรัส

 

บัดนี้นครรัฐแห่งรุ่งอรุณได้ขยายตัวออกเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรอาศัยอยู่นับแสนคน และรอบบริเวณวิหารพระอาทิตย์เดิมก็ได้รับการสถาปนาเป็นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างถาวร และได้เปลี่ยนชื่อวิหารใหม่เป็นมหาวิหารสุริยะเจิดจรัสสมดั่งพระพลานุภาพแห่งสุริยะเทพแล้ว

 

ในทุก ๆ วันจะมีเพียงนักบวชระดับสูงเท่านั้นที่จะเข้ามาสวดอธิษฐานภาวนาและสำนึกในพระพรแห่งทวยเทพที่ทรงได้เผยพระรัศมีแห่งความรอดแก่มวลมนุษยชาติในตอนเช้า และหลังจากนั้นทั้งวันก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดย่ำกรายเข้ามาภายในอีก

 

ถึงกระนั้นมหาวิหารสุริยะเจิดจรัสก็ยังคงสะอาดอยู่ตลอดเวลา แสงสุริยะเจิดจ้าสาดสะท้อนไปทั่ววิหาร กระเบื้อง ผนัง พื้น เพดาน เสาหิน ทุกสิ่งล้วนต้องไปด้วยแสงบริสุทธิ์ซึ่งทำให้ทั้งตัววิหารเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์

 

ภายในมหาวิหารที่โถงภาวนาร่างสองร่างก็ปรากฏกายขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

 

“ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลยนับตั้งแต่คุณจากไป”ไคลน์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่เดินทอดกายไปตามทางเดินในโถงแห่งการภาวนาที่กว้างขวางและใหญ่โต

 

ดวงตาสีทองอร่ามของกรีชาสะท้อนภาพของชายหนุ่มตรงหน้าโดยไม่กระพริบตาขณะที่ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง

 

“ฉันแอบส่งอิทธิพลเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อพัฒนาการและความเป็นอยู่ของชาวเมืองที่นี่ พวกเขาขยายตัวกันออกไปอย่างรวดเร็วมาก จากทั้งวิธีธรรมชาติและการต้อนรับผู้อพยพ”ไคลน์เล่ารายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในนครรัฐนี้ให้กรีชาฟังอย่างช้า ๆ และไม่รีบร้อน

 

“กระนั้นฉันก็จะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องมากนักในเรื่องของสังคมความเป็นอยู่ของพวกเขา สภาผู้อาวุโสยังคงเป็นแกนหลักในของนครรัฐนี้ มีผู้อาวุโสอยู่ทั้งหมด 22 คน และมีหัวหน้าผู้อาวุโส 1 คนซึ่งเป็นผู้นำ พวกเขาปกครองได้เป็นอย่างดีจนน่าเชื่อเมื่อเทียบกับระบอบการปกครองในยุคของพวกเรา”ไคลน์แสดงรอยยิ้มขบขันเล็กน้อย

 

เขามองขึ้นไปบนผนังด้านในสุดของโถงภาวนาซึ่งที่นั่นมีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพได้ประดิษฐานเอาไว้อยู่อย่างสง่างามและศักดิ์สิทธิ์

 

“พวกเขายังคงเรียกร้องให้เพิ่มสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของฉันลงไปในพระคัมภีร์และวิหารต่าง ๆ ด้วย คุณเห็นไหม?”

 

สายตาของกรีชายังคงไม่ละไปจากไคลน์ กระนั้นเขาก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเคียงข้างไม้กางเขนสีเงินบริสุทธิ์อันเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของเขา มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อีกอันประดิษฐานอยู่อย่างเท่าเทียมกัน

 

มันคือดวงตาที่ไร้รูม่านตาบนบานประตูลวงตาแห่งดวงดาวที่ใจกลางของมันเป็นรูปลูกปัดและเข็มนาฬิกา นี่คือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันของไคลน์

 

“ฉันไม่เคยขัดความต้องการที่จริงจังของผู้ศรัทธาเหล่านั้นได้เลย โชคดีที่ฉันมีหนอนแห่งวิญญาณซึ่งสามารถรับหน้าที่ในการตรวจสอบคำอธิษฐานและตอบสนองได้ทุกเวลา ทำให้ฉันไม่ต้องอดหลับอดนอนจนกลายเป็นเครื่องจักรสิ่งมีชีวิตน่ะนะ”

 

ไคลน์หยุดเว้นช่วงไปขณะหนึ่งเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงเบื้องหน้าของสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองภายในโถงภาวนานี้อย่างใกล้ชิด

 

เขาหันหน้ากลับมาหากรีชาอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า

 

“คุณคงไม่ได้เอาเขามาซ่อนไว้ที่นี่หรอกใช่ไหม?”รอยยิ้มของไคลน์นั้นราวกับดวงตะวันอันสดใสที่แม้แต่สุริยะเทพตัวจริงก็ไม่อาจมองตรงไปยังแหล่งกำเนิดของมันได้โดยไม่รู้สึกแสบตา

 

“คุณรู้ใจฉันจริง ๆ นะ”กรีชาถอนหายใจ

 

“ในตอนแรกฉันกะว่าจะพาเขามาซ่อนไว้ที่นี่ก่อนเพื่อเซอร์ไพรซคุณ แต่เนื่องจากเวลาที่ใช้ไปนานเสียจนคุณรู้แล้วว่าฉันตั้งใจจะทำอะไร ฉันจึงไม่ได้พาเขาซ่อนไว้ที่นี่ตามที่คิดไว้”ชายหนุ่มกล่าวแล้วสั่นศีรษะ

 

“ดังนั้นคุณจึงเอาเขาไปซ่อนไว้ที่อื่นเหรอ?”รอยยิ้มของไคลน์กว้างขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย

 

“ไม่หรอก...”กรีชาเผยรอยยิ้มอ่อน ๆ ขณะที่สบตากับไคลน์โดยไม่หลีกเลี่ยง

 

เขายังคงอยู่ในโลกดารานั่นแหละ... ในที่ที่ฉันสร้างเขาขึ้นมา”

 

ในโลกดารา?..

 

ไคลน์กระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความเข้าใจในทันท่วงที

 

“คุณก่อตั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพของคุณแล้วหรือ?”น้ำเสียงของไคลน์แสดงออกถึงความตกใจเล็กน้อย รวมถึงความคาดหวังบางอย่างและความรู้ทันราวกับได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ

 

“ใช่แล้ว”ดวงตาของกรีชาส่อแววแห่งความสนใจออกมาอย่างไม่ปิดบังขณะที่เขามองเข้าไปในดวงตาของไคลน์

 

“คุณรู้ใจฉันมากจริง ๆ ”เขาพูดไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากที่ยกสูงขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์

 

ไคลน์หลบสายตาดังกล่าวในทันทีด้วยแก้มและใบหูที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันหลังให้กับกรีชาไปอย่างรวดเร็ว

 

“ฉันสงสัยเสียจริง... เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับนั้นของคุณหรือไม่?”น้ำเสียงดังกล่าวของกรีชานั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยความสงบ สุขุม และอ่อนโยนเสมอ

 

ทว่าจิตวิญญาณของไคลน์กลับสั่นสะท้านอย่างน่าหวาดกลัว หูทั้งสองข้างของไคลน์พลันเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง

 

เขารู้แล้วเหรอ?... เขาเดาได้ไหม?

 

ดวงตาของไคลน์หดเล็กลงด้วยความคิดนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลเข้ามา ทั้งน่าวิตกกังวล น่าตื่นเต้น น่ายินดี หรือแม้กระทั่งโล่งใจ แต่ทั้งหมดนั้นกลับทำให้ไคลน์ที่นำความเป็นมนุษย์ไว้อันดับแรกสุดนั้นตกอยู่ในภวังค์ความคิดอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“ไคลน์?”

 

“ไคลน์”

 

ไคลน์”สัมผัสอันอบอุ่นที่ไหล่ของไคลน์นั้นทำให้ไคลน์ได้สติขึ้นมา

 

เขาหันศีรษะควับไปตามที่มาของเสียก็พบเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของกรีชาเข้า

 

ดวงตาสีทองอร่ามของเขาทอประกายแสงจาง ๆ ขณะที่จดจ้องมายังตัวของไคลน์ด้วยความเป็นห่วง

 

“คุณเป็นอะไรไปไคลน์...”คำถามของกรีชาไคลน์ไม่ได้ตอบ

 

ไคลน์ถอนหายใจแล้วปัดแขนของกรีชาที่จับไหล่ของตนออกไปอย่างรวดเร็วแล้วมองขึ้นไปที่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งคู่ที่ติดอยู่บนผนังด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย

 

หรือฉันควรจะบอกเขาไปเลยดี?

 

คำถามหนึ่งล่องลอยอยู่ภายในใจของไคลน์แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะตอบคำถามดังกล่าวของตัวเขาได้นอกจากตัวเขาเอง

 

เมื่อเห็นไคลน์เป็นเช่นนั้นอีกรอบกรีชาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแล้วระบายรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับขยับกายเข้าไปใกล้ ๆ ไคลน์อีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่ได้แตะต้องไคลน์อย่างถือวิสาสะอีก

 

“ไคลน์...”กรีชากล่าวด้วนน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาที่ข้างหูของไคลน์

 

“คุณไม่ต้องกังวลหรอก หากคุณไม่ต้องการที่จะบอกฉันในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร หรือถ้าคุณไม่อยากบอกอะไรกับฉันเลยก็ย่อมได้ ฉันเคารพในสิทธิ์การตัดสินใจของคุณเสมอ”ดวงตาของกรีชานั้นจริงใจและซื่อตรงขณะที่เขามองไปยังดวงหน้าของไคลน์ไม่ละสายตา

 

“ฉันจะไม่ขุดคุ้ยความลับของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือเว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นใด ๆ”กรีชากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

ฉันสัญญา”ว่าแล้วก็ได้ใช้วาจาสิทธิ์และอำนาจแห่งพันธะสัญญาในระดับเทพของตนลงไปด้วยเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

 

แสงสว่างวาบฉายออกมาจากร่างของกรีชาราวกับเป็นแหล่งกำเนิดแสงใหม่ก่อนที่จะจางลงอย่างช้า ๆ

 

ที่หน้าผากของไคลน์สัญลักษณ์ไม้กางเขนที่กรีชาเคยมอบให้ไว้เมื่อเขาจุมพิตหน้าผากของไคลน์เป็นครั้งแรกก็เรืองแสงตอบรับออกมา

 

ไคลน์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยที่บริเวณหน้าผากของตน

 

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกรอบแล้วหันหน้ามากรีชา

 

“สักวันหนึ่งฉันจะบอกคุณ... แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะกรีชา”ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขณะที่มองเข้าไปในดวงตาของกรีชา

 

“ไม่เป็นไรเลยไคลน์”กรีชาแสดงรอยยิ้มอบอุ่นออกมาก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปลูบกรอบใบหน้าของไคลน์ด้วยความอ่อนโยน

 

แก้มของไคลน์แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้า ๆ พร้อมกับร่างสั่น ๆ ของเขา

 

เขาหันหน้าหนีและสะบัดตัวออกห่างจากกรีชาในทันทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยความเขินอาย ใบหน้าของกรีชาแสดงรอยยิ้มแท้จริงออกมาแล้วกล่าวกับไคลน์ที่เดินออกไปไกลพอสมควรแล้วว่า

 

“ไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของฉันกันเถอะ”

 

ร่างของไคลน์ที่เดินออกไปหยุดชะงักเล็กน้อย

 

ก่อนที่จะค่อย ๆ หันหลังกลับมาตามเสียงของกรีชา

 

และด้วยแสงสว่างวาบเดียวร่างของกรีชาก็มาโผล่ที่ตรงหน้าของไคลน์แล้ว

 

ชายร่างสูงยื่นฝ่ามือใหญ่ออกมาข้างหน้า

 

“จับมือฉันสิ”กรีชากล่าว

 

ไคลน์มองฝ่ามือนั้นของกรีชาด้วยความครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะยื่นมือของตนออกไปจับมือของกรีชาแต่โดยดี

 

กรีชาแสดงรอยยิ้มกว้างขึ้นด้วยสายตาพึงพอใจอย่างยิ่ง

 

“อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของฉันจะถูกเรียกว่า สวนเอเดน

 

และด้วยแสงสว่างวาบตาร่างทั้งสองร่างก็หายวับไป

Notes:

แวะมามอบความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้นักอ่านทุกท่าน ก่อนที่ผมจะไปเจอศึกหนัก

ขอบคุณที่อ่านนะครับ แล้วพบกันใหม่บทหน้า!

โปรดติดตามตอนต่อไป~~~

Chapter 19: เทวทูตแห่งความมืด ซาสเรีย

Summary:

กรีชาและไคลน์ไปพบซาสเรีย

Notes:

(See the end of the chapter for notes.)

Chapter Text

 

แสงสว่างวาบตาฉาบย้อมไปทั่ววิสัยทัศน์การมองเห็นของไคลน์ทำให้ทุกสรรพสิ่งถูกกลืนกินไปด้วยแสงสว่างพร่างพรายที่อบอุ่นและบริสุทธิ์

 

เมื่อแสงสว่างจางลงไคลน์ก็มองเห็นแล้วถึงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของกรีชา

 

มันเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวโล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าของพวกเขาคือวิหารขนาดใหญ่ในทรงรูปทรงกอธิกที่ถูกสร้างจากหินอ่อนสีขาว เมื่อแสงสว่างสีทองอร่ามตกกระทบก็เกิดประกายระยิบระยับราวกับเพชร

 

ฝั่งซ้ายมือเลยทุ่งหญ้ากว้างออกไปคือป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นแอปเปิล และฝั่งขวาคือหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ทั้งหมดถูกสร้างจากสสารสีขาวโพลน

 

แน่นอนว่าเบื้องบนของทั้งดินแดนนี้คือดวงสุริยันเจิดจรัสขนาดใหญ่ที่สาดแสงสว่างชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันมอบดับ ฉายแสงสีทองร่ามแห่งความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ลงมาอย่างดินแดนนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มอบความอบอุ่นและความมีชีวิตชีวาให้

 

สวนเอเดน... เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากรพระคัมภีร์จริง ๆ สินะ แน่นอนว่าไคลน์ไม่พลาดโอกาสซุบซิบนินทาคนเดียวภายในใจห้วงความคิดขณะที่ดวงตาของเขาสอดส่ายไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่บนโลกความจริงอีกต่อไปแล้ว สถานที่ตั้งของสวนเอเดนแห่งนี้คือโลกดาราอันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยแนวคิดและสัญลักษณ์อันเป็นสากลของทั้งจักรวาล

 

แต่ที่นี่ไม่ได้ลอยเวิ้งอยู่กลางห้วงอวกาศภาพสีน้ำมัน หรือดวงดาวต่าง ๆ ที่ถูกวาดแบบลวก ๆ รวมถึงสัญลักษณ์แปลกประหลาด และแนวคิดอันโกลาหลอย่างที่ไคลน์เคยเห็นในไทม์ไลน์ก่อน

 

สวนเอเดนแห่งนี้คล้ายคลึงกับอาณาจักรเทพของเทพจารีตทั้ง 7 ในยุคที่ 5 ยิ่งนัก มันเป็นสถานที่ที่พลานุภาพ อำนาจและสัญลักษณ์ของเทพตนนั้น ๆ ได้ฉายออกมาอย่างเต็มที่ และทุกอณูของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นี้ล้วนถูกอาบย้อมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของกรีชา

 

“แกนหลักของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นี้คือเส้นทางสุริยัน... ฉันเดาถูกไหม?”ไคลน์หันหน้ากลับมาถามกรีชาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

 

นั่นเพราะเขาสงสัยว่าภายในอาณาจักรเทพแห่งเดียวนั้นสามารถฉายพลังของเทพที่มีมากกว่า 1 เส้นทางได้หรือไม่ต่างหาก

 

“คุณเข้าใจถูกแล้ว”กรีชาพยักหน้าให้กับคำพูดดังกล่าวของไคลน์ ขณะเดียวกันเขาก็คาดเดาได้ว่าไคลน์นั้นสงสัยในเรื่องอะไร

 

“อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของทวยเทพนั้น พื้นฐานแล้วคือดินแดนที่เทพเจ้าได้แสดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด แนวคิดและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถบรรจบกันได้ภายใน นอกจากจะเป็นสถานที่พำนักแล้วยังสามารถใช้เป็นสนามรบได้เพื่อยับยั้งพลังของศัตรูอย่างที่คุณเข้าใจ”ดวงตาสีทองของกรีชาเปล่งประกายวาววับขณะที่มองเข้าไปในดวงตาของไคลน์

 

“แต่เนื่องจากลำดับ 0 ที่สอดคล้องกันของฉันทั้ง 2 เส้นทางอย่างสุริยันและชายแขวนคอนั้นขัดแย้งกันโดยธรรมชาติฉันจึงเลือกที่จะใช้สุริยันเป็นแกนหลักมากกว่า”เขาชี้แจงความรู้ดังกล่าวให้ไคลน์โดยไม่ตระหนี่

 

“และแน่นอนว่าในภาพลักษณ์ของผู้ศรัทธาและจุดยึดเหนี่ยว จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่แสดงอำนาจของความเสื่อมทราม ต่ำตม และความมืด”

 

ไคลน์พยักหน้าตามคำพูดของกรีชาอย่างเข้าใจ และเขารับรู้ถึงอันตรายจากจุดยึดเหนี่ยวและภาพจำหลักของผู้ศรัทธาได้เป็นอย่างดี เพราะหากภาพจำของผู้ศรัทธาที่มีต่อเทพนั้นผิดเพี้ยนไปหรือแปลกแยกย่อมจะส่งผลเสียต่อเทพองค์นั้นแน่นอน

 

“คุณวางแผนที่จะทำให้ที่นี่เป็นสวนเอเดนจริง ๆ เลยไหม?”แน่นอนว่านี่คืออีกหนึ่งความคิดของไคลน์ที่เจ้าตัวไม่ยอมสลัดให้หายทิ้งไปจนสุดท้ายต้องเอ่ยถามออกมา

 

สวนเอเดน...”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ดวงตาของกรีชาก็ทอประกายแสงอ่อนโยนขึ้น

 

“ทั้งคุณและฉันต่างก็รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะเป็นพระเจ้าที่แท้จริงได้ใช่ไหม?”น้ำเสียงของกรีชานั้นยังคงอบอุ่นเช่นเดิมแต่ไคลน์รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่แฝงอยู่กับคำพูดเหล่านั้นได้

 

“เมื่อคนตาย... สิ่งมีชีวิตตาย จิตวิญญาณเหล่านั้นก็แตกสลาย”

 

“ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีแม้แต่สรวงสวรรค์หรือนรกสำหรับการพักผ่อนและลงโทษด้วยซ้ำ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องที่น่าเศร้า...”

 

“ฉันเลยคิดได้ว่าถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงเรื่องแต่งที่มนุษย์เอาไว้ใช้ปลอบประโลมตนเองเท่านั้นแล้วทำไมฉันถึงไม่สร้างพวกมันขึ้นมาล่ะ? ให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นของจริง

 

“ถ้าหากมีสถานที่พักผ่อนชั่วนิรันดร์สำหรับดวงวิญญาณ สถานที่สุดท้ายที่เต็มไปด้วยความสุขนิรันดร์ ตอนนั้นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วล้วนจะได้รับผลตอบแทนสำหรับชีวิตของพวกเขา มันก็จะไม่กลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอีกต่อไป”

 

เมื่อฟังคำพูดของกรีชาไคลน์ก็ตกผลึกความคิดได้

 

“แต่.. คุณก็รู้”น้ำเสียงของไคลน์แผ่วเบา

 

“ไม่มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์”ดวงตาสีน้ำตาลของเขาฉายความเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจลดทอนได้ขณะที่เขาสบตากับเจ้าของดวงนัยน์ตาสีทองอร่ามอย่างไม่หวั่นไหว

 

“ทั้งคุณและฉัน มนุษย์หรือทวยเทพ สักวันพวกเราก็จะจมหายไปในสายน้ำแห่งโชคชะตาและกาลเวลา และไม่มีใครจดจำได้อีก..”

 

กรีชาส่ายหน้าให้กับคำพูดนั้น

 

“ตราบใดที่ฉันยังอยู่ ผู้ศรัทธาของฉัน จุดยึดเหนี่ยวของฉัน-”เขาสบตากับไคลน์ด้วยความมั่นคงอันบริสุทธิ์

 

“และคุณ”จิตวิญญาณของไคลน์สั่นสะท้านให้กับพลานุภาพของคำพยากรณ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของกรีชา

 

“พวกเขาจะไม่มีวันหายไป และเราก็จะไม่มีวันหายไป”น้ำเสียงแน่วแน่ของเทพสุริยันดังกังวานไปทั่วอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างมั่นคงราวกับคำมั่นนิรันดร์

 

เฮ้อ... เขากดดันตัวเองจริง ๆ ราวกับว่าเขาเป็นผู้ช่วยให้รอดเพียงคนเดียวของโลกใบนี้ หน้าที่ของพระเจ้าตามความเข้าใจของเขานั้นสุดโต่งเสียจริง ในฐานะคนจีนที่ในอดีตไม่ใช่ผู้นับถือพระเจ้า ไคลน์ไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ ว่ากรีชากำลังแบกรับภาระแบบไหนต่อมวลมนุษยชาติกันแน่

 

แต่สิ่งเดียวกันที่เขาเข้าใจได้ร่วมกับกรีชาคือ ภาระหน้าที่ในการปกป้องโลกใบนี้ บ้าน ของพวกเขา

 

อย่างน้อยในยุคที่ 5 ก็มีเทพหลายองค์ที่เปิดศูนย์บริการพักผ่อนดวงจิตล่ะนะ... ถึงจะไม่แน่ใจก็เถอะว่าเทพทุกองค์สามารถรับดวงวิญญาณของผู้ศรัทธาของพวกเขาได้หรือพวกเขาจะปล่อยให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นแตกสลายก็ตามที

 

แต่ตอนนี้.... ฉันจะช่วยกรีชาให้บรรลุตามประสงค์ของเขาเอง!

 

“เอาล่ะ ๆ... ตราบใดที่ฉันอยู่กับคุณ เราจะปกป้องสวนเอเดนแห่งนี้และทำให้ดวงวิญญาณของผู้ศรัทธาทุกคนพบกับความสุขนิรันดร์ เพราะฉะนั้นแล้วเราอย่าพึ่งเศร้าเลย ไปหาเขาคนนั้นที่คุณสร้างกันเถอะ”ไคลน์เปลี่ยนบรรยากาศหดหู่และหนักอึ้งโดยพลัน

 

ดวงตาสีทองอร่ามของกรีชากลับมาโฟกัสอีกครั้งที่ร่างของไคลน์ ใบหน้าของเขาสงบขึ้นแล้วกลับมาอ่อนโยนเช่นเดิม บรรยากาศหนักอึ้งก็พลันจางหายไปในทันที

 

“เขาอยู่ที่นั่น”กรีชาชี้ไปที่มหาวิหารอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของพวกเขา

 

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ!”

 

 

 

ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์อันใหญ่โตในอาณาจักรเทพของกรีชา

 

ที่นั่นมีร่างของชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานพร้อมกับกองเอกสารบนโต๊ะ ซึ่งก่อให้เกิดภาพที่โคตรจะเข้ากันไม่ได้กับภาพของวิหารทั้งหลังเลย

 

ชายคนนั้นมีผมยาวสีดำสนิท มีผิวกายสว่างสดใส เขาสวมอาภรณ์สีดำทั้งตัวราวกับออกมาจากความมืด และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือบนแผ่นหลังของเขามีปีกสีดำขนาดใหญ่คู่หนึ่งอยู่

 

นี่ไม่ใช่ใครอื่นใด

 

เขาคือ ซาสเรีย เทวทูตแห่งความมืด!

 

เมื่อแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นที่หางตาของดวงเนตรสีดำสนิทและกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพปรากฏขึ้น ซาสเรียก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานทันทีด้วยสีหน้าสงบแล้วหันหน้าไปทางที่แสงสว่างนั้นปรากฏขึ้น

 

“พระผู้สร้าง..”เขากล่าวแล้วทำความเคารพกรีชาด้วยการโค้งตัวให้ราวกับว่ากรีชาเป็นหัวหน้าบริษัท ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความศรัทธาและภักดีสูงสุด

 

“ไคลน์... นี่คือซาสเรีย เทวทูตแห่งความมืด ส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของฉัน”กรีชากล่าวแนะนำซาสเรียให้ไคลน์ได้ทราบ

 

“สวัสดีซาสเรีย ยินดีที่ได้รู้จัก...”ไคลน์กล่าวคำทักทายให้กับเทวทูตแห่งความมืดเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงสงบ

 

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ เทพแห่งความเร้นลับ”ซาสเรียกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงให้ความเคารพไม่แพ้ความเคารพที่เขามีให้ต่อกรีชาเลยแม้แต่น้อย

 

ไทม์ไลน์ก่อนซาสเรียดูเหมือนจะเกิดจากซี่โครงของกรีชา... เป็นด้านมนุษย์ของเขา ในไทม์ไลน์นี้ก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอกใช่ไหม? ไคลน์ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเดิมของเขา ขณะที่มองไปยังซาสเรียด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

 

“คุณสร้างเขาขึ้นมาอย่างไร มีจุดประสงค์ใดหรือไม่ที่ฉันไม่รู้?”ไคลน์หันหน้าไปหากรีชาที่อยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าวถามอย่างสงสัย

 

“ฉันแยกอำนาจของชายแขวนคออกมาเพื่อลดทอนอำนาจของปฐมกาลในร่างของฉันเอง เพื่อสร้างความสเถียรให้กับตัวฉันเอง โชคดีที่มีคุณซึ่งทำให้ฉันผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของข้อผิดพลาดทำให้มีอีกเจตจำนงหนึ่งในร่างของฉันคอยต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบ การแยกออกมาเป็นซาสเรียเป็นผลลัพธ์ที่เลี่ยงไม่ได้หากฉันต้องการความสเถียรที่สมบูรณ์เพียงพอ และเพื่อความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ใกล้จะเกิดขึ้นในอนาคต”ดวงตาของเขายังคงแจ่มชัดขณะที่มองไปยังร่างของซาสเรียตรงหน้า

 

“เขาเป็นอีกบุคลิกภาพหนึ่งของฉันเป็นส่วนที่ความเป็นมนุษย์ของฉันแสดงออกมากที่สุดและเป็นตัวฉันที่มีความคิดเสรี เขาเป็นฉันแต่ก็ไม่ใช่ฉัน..”

 

ลำดับเครือญาติจะเริ่มสับสนตั้งแต่ตอนนี้สินะ... ไคลน์หัวเราะขบขันอยู่ภายในใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของอาดัมและอามุนด์ในอนาคต

 

แต่จู่ ๆ รอยยิ้มของเขาก็พลันหยุดชะงัก

 

ตอนนี้กรีชากำลังสนใจฉัน- ไม่สิ จากท่าทีแล้วดูเหมือนพวกเรากำลังสนใจกันและกัน ไคลน์แอบเหลือบไปมองเทพสุริยันผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผ่านความลับของผ้าคลุมสีดำและเหลืองอย่างครุ่นคิด

 

ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปในอนาคต ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องเป็นผู้ให้กำเนิดอาดัมกับอามุนด์งั้นเรอะ? ใบหน้าของไคลน์ค่อนข้างแสดงออกถึงความตกใจพอสมควร

 

แน่นอนว่าเขาซ่อนสีหน้านี้ของเขาไว้จากกรีชาได้อย่างแนบเนียนในความเงียบขณะที่ครุ่นคิดกับตัวเองด้วยความลนลานและโกลาหล

 

ไม่สิ ทำไมฉันถึงคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นฝ่ายรับให้เขาล่ะ? โจวหมิงรุ่ยชายแท้ทั้งแท่งคนนี้เนี้ยนะ?

 

ฉัน.... ฉัน-

 

ยิ่งคิดสภาวะจิตใจของไคลน์ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น แต่คิดยังไงก็คิดไม่ตก

 

ภาพในหัวของไคลน์ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ตัวเขาเองคิดไปว่าจะเป็นฝ่ายนำกรีชาได้ เหมือนสัญชาตญาณของไคลน์กรีดร้องอยู่ตลอดเวลาและบอกว่าเขาทำได้เพียงเป็นฝ่ายรับเท่านั้น

 

แน่นอนว่าในจิตใต้สำนักส่วนลึกของไคลน์ที่ตัวเขายังไม่อยากจะยอมรับย่อมรู้เต็มทนแล้วว่าตัวของไคลน์เองไม่ได้สนใจจะเป็นฝ่ายนำเลยสักนิดเดียว

 

คนที่ในอดีตเคยบอกว่าตัวเองไม่ใช่เกย์นั้น ตอนนี้กำลังกลับคำกลืนน้ำลายตัวเองอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้แล้ว

 

“ไคลน์.. คุณเป็นอะไรไป?”กรีชากล่าวกับไคลน์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงห่วงใยเมื่อเห็นว่าเจ้าแมวน้อยคนนี้นิ่งสนิทไปอย่างผิดปกติ

 

“เอ่อ.. ไม่มีอะไรหรอก”ไคลน์ได้สติขึ้นมาก็เก็บซ่อนใบหน้าแดงซ่านของตนไว้ในผ้าคลุมสีดำสนิทอันเป็นเอกลักษณ์ แล้วบ่ายเบี่ยงประเด็นออกไปอย่างเรียบเฉย

 

“เอาล่ะคุณซาสเรีย.. ฉันเป็นกำลังใจให้คุณทำงานต่อไปนะ สู้ ๆ”ไคลน์รีบหันเหความสนใจของตนเองจากเรื่องภายในหัวมาสู่ปัจจุบันทันที

 

“อา... น้อมรับพระพรของท่านเทพแห่งความเร้นลับ”ซาสเรียค่อนข้างสับสนเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของราชินีแห่งสวรรค์ ผู้เป็นครึ่งหนึ่งของพระผู้สร้าง พระเจ้าผู้สรรสร้างตน แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดเกินตัวออกไป

 

เขาเป็นเพียงผู้รับใช้ลำดับ 1 ผู้ภักดีต่อเทพทั้งสองเท่านั้น

 

“ทำงานต่อเถอะ พวกเราไม่รบกวนเจ้าแล้ว”กรีชากล่าวกับซาสเรียด้วยน้ำเสียงสงบก่อนที่จะพาไคลน์ที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วนั้นออกไปที่อื่น

 

แสงสว่างวาบพร่างตาปรากฏขึ้นแล้วหายวับไป ร่างของเทพทั้งสองก็หายไปจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่มีนามว่าสวนเอเดนแล้ว

 

“...”ซาสเรียมองจุดที่พระเจ้าและเทพแห่งความเร้นลับเคยอยู่ด้วยสายตาสบสนราวกับเด็กน้อย ก่อนที่จะละความสนใจออกไปอย่างง่ายดายแล้วนั่งลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะหยิบเอกสารต่อไปขึ้นมาทำต่อราวกับหุ่นยนต์

 

แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าตัวของเขาเองจะไปมีความสัมพันธ์เช่นไรกับเทพแห่งความเร้นลับ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ของตัวเขากับพระเจ้า

 

ไม่สิ คงต้องบอกว่าในตอนที่กรีชาสร้างซาสเรียซึ่งเป็นอีกตัวตนของเขาแต่มีความคิดอิสระเสรีนั้น กรีชาได้ตั้งค่าบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างชัดเจน

 

นั่นคือการที่ซาสเรียจะเป็นเพียงซาสเรียเท่านั้นไม่ใช่กรีชา แต่กรีชาจะยังคงเป็นกรีชาและกรีชาก็เป็นซาสเรียได้ จากมุมมองนี้ซาสเรียจึงไม่ได้มีความสนใจอะไรเลยต่อความสัมพันธ์ของราชาและราชินีแห่งสรวงสวรรค์

 

ถึงแม้ตัวของซาสเรียจะเป็นส่วนหนึ่งของกรีชาก็ตามที แต่ความรู้สึกและสายสัมพันธ์ที่เขามีต่อพระผู้สร้างตนเองและเทพแห่งความเร้นลับนั้นคือความเคารพ ความภักดี และความศรัทธาเท่านั้น

 

บอกได้เลยว่ากรีชาค่อนข้างเป็นคนที่หวงของมากเลยทีเดียว... แม้แต่ส่วนหนึ่งของเขาก็ไม่สามารถรักไคลน์ได้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามีเพียงกรีชาเท่านั้นที่จะสามารถรักไคลน์ได้

 

จึงไม่มีเรื่องน่าเศร้าในประวัติศาสตร์อย่างรักสามเส้าในตำนานที่จะตกทอดไปถึงยุคที่ 5 ขึ้นอย่างแน่นอน

Notes:

ชีวิตช่วงนี้ยังยุ่งเหมือนเดิม อาจจะได้อัพเดตเดือนละ 1-2 ตอนนะครับ

ขอบคุณที่อ่านนะครับ

โปรดติดตามตอนต่อไป~~~

Series this work belongs to: